เชื่อเถอะครับว่าปีนี้แฟนบอยของเกมแนว First Person Shooter ทั้งสองเกมยักษ์ใหญ่ประจำแบรนด์นี้อย่าง
Battlefield และ
Call of Duty ต่างก็ออกโรงถกเถียงแขวะกันเอามันส์เป็นว่าเล่นว่าเกมฉันดีกว่าเกมแก เกมแกแย่กว่าเกมฉันกันเป็นว่าเล่น
ซึ่งก็เป็นประเด็นดราม่ามันส์ๆให้เราอ่านกันได้ไม่เว้นวัน แต่จริงๆแล้วสองเกมนี้ ต่างมีดี และมีความสนุกเฉพาะตัว รวมไปถึงยังเหมาะกับผู้เล่นทีมีสไตล์การเล่นต่างกันออกไปอีกด้วย วันนี้เราจะพาผู้เล่นมาเทียบกันช็อตต่อช็อต เกมต่อเกมเลยว่าสองเกมนี้มันมีข้อดี ข้อเสียแตกต่างกันยังไง โดยเราจะหยิบยกเอาภาคล่าสุดมาเปรียบเทียบกันเท่านั้นนั่นคือ Call of Duty: Black Ops 4 และ Battlefield V ครับ
นี่คือประเด็นร้อนที่หลายคนยกนำมาโจมตีฝั่งของ Call of Duty บ่อยมากๆ เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่า Black Ops 4 นี้ไม่มีเนื้อเรื่อง กลายเป็นเกมออนไลน์เต็มรูปแบบแต่กลับขายตัวเกมในราคาเกม AAA Standard นั่นคือ 60$ หรือราวๆเกือบ 2,000 บาทเลยทีเดียว แน่นอนทั้งแฟนชาวไทยและต่างประเทศต่างก็ออกมาโวยวายสาปส่งว่าเจ๊งแน่ๆ กับเกมที่ไม่มีเนื้อเรื่อง เล่นออนไลน์ล้วนๆแต่ขายราคาแพงลิ่วขนาดนี้ โดยตัวเกมมี 3 โหมดให้เล่นคือ Multiplayer (ที่แบ่งออกเป็นอีก 5 โหมดเต็มๆ) , Blackout หรือโหมดแบทเทิลรอยัลที่เราคุ้นเคย และโหมดซอมบี้ เฉลี่ยแล้วเหมือนคุณซื้อเกมในราคาโหมดละ 20$ (640 บาท) ถ้านับว่ามันเป็นเกมออนไลน์ ก็ถือว่าคุ้มค่า เพียงแต่มันไม่หั่นราคาขายเนี่ยสิ!แต่ ณ ปัจจุบันที่กำลังเขียนบทความนี้อยู่ ตัวเกมก็มีการแบ่งตัวเกมแยกขายมาแล้ว โดยตัดเอาโหมดซอมบี้ออก และขายเพียงตัวเกมที่รวม Multiplayer กับ Blackout ไว้ด้วยกัน และขายในราคา 29.99$ (960 บาท) ทำให้มีคนสนใจมากยิ่งขึ้น แต่โหมดซอมบี้มันก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร เพราะหลายคนก็ไม่ได้สนใจโหมดนี้แต่แรกอยู่แล้วถึงมันจะสนุกมากก็ตาม ในขณะที่ Battlefield V นั้น ตัวเกมมีโหมดเนื้อเรื่อง แต่ก็ไม่มีใครปฏิเสธว่ามันชวนหาวแค่ไหน และสุดท้ายคนก็ยังคงเน้นไปที่โหมดมัลติเพลเยอร์อยู่ดี เพราะถือเป็นหัวใจหลักของ Battlefield ในแต่ละภาค และคนให้ความสนใจมากกว่าโหมดเนื้อเรื่องอยู่แล้วBattle Edition ตัวเกมที่ตัดโหมดซอมบี้ออกสรุปแล้วเนื้อเรื่องอาจจะสำคัญหรือไม่สำคัญก็ได้ เพราะผู้เล่นแต่ละคนก็ชื่นชอบการเล่นเกมในรูปแบบที่แตกต่างกันไป บางทีก็นึกสงสัยเหมือนกันว่าถ้าเกิด Battlefield ประกาศตัดโหมดเนื้อเรื่องออกไปเลยสักภาคจะเป็นประเด็นเท่ากับตอน Call of Duty ในภาคนี้ไหมนะ ??ในเรื่องของราคา ตรงนี้ผมมองว่ามันไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบสักเท่าไร เพราะตัวเกมมันก็ราคาหนักหนาพอกันทั้งคู่ เพียงแต่ทางเลือกของฝั่ง Call of Duty ดูจะมีมากกว่า เพราะมีทั้ง Standard , Digital Deluxe , Battle Edition (ตัดโหมดซอมบี้ออก) และอื่นๆอีกมากมาย ในขณะที่ Battlefield มีเพียงสองทางเลือกคือ Standard Edition และ Digital Deluxe ที่ราคาต่างกันหนึ่งพันบาทถ้วนๆ (ไม่นับกรณีลดราคา) แต่ตรงจุดนี้ก็อยู่ที่ความซีเรียสของผู้เล่น ถ้าคุณไม่สนใจของแถม เงิน กล่องไอเทมเริ่มต้น คุณก็สามารถเลือกซื้อแบบ Standard ไปได้เลยทั้งสองเกม สำหรับสองเกมนี้ ราคามันก็อยู่ในระดับมาตรฐานของเกมคุณภาพเกรดตองเอกันอยู่แล้วทั้งคู่ครับและนี่ล่ะคือหัวข้อสำคัญของบทความนี้เลยทีเดียว สิ่งที่ทำให้ทั้งสองเกมนี้แตกต่างและมีฐานแฟนคลับของตัวเองก็คือเกมเพลย์นี่ละครับ เพราะต้องบอกเลยว่าทั้งสองเกมนี้มีเกมเพลย์ที่แตกต่างกันแบบสุดๆ โดยเฉพาะภาคล่าสุดนี้ แทบจะเดินเกมคนละแบบเลยทีเดียว โดยเราจะว่ากันให้เห็นภาพดังนี้Gameplay ส่วนของ Call of Duty: Black Ops 4หัวใจหลักของภาค Black Ops 4 นั้นเป็นโหมดออนไลน์อยู่แล้ว และโหมดการเล่นที่คนนิยมเล่นกันมากที่สุดก็คือโหมด Deathmatch และ Kill Comfirm โดยรูปแบบการเล่นก็ไม่ต่างจากเกมยิงทั่วไป แต่มันพิเศษตรงที่ตัวละครทั้งหมดในเกมนี้จะมีสกิลพิเศษติดตัวมาตัวละ 2 สกิล โดยเป็นสกิลแรกที่คูลดาวน์พอดีๆ ใช้งานได้บ่อยพอสมควร กับอีกสกิลจะเป็นเหมือนอัลติเมทสกิลที่เปรียบเสมือนท่าไม้ตายพิเศษของตัวละครนั้นๆ แต่ละตัวก็น่าปวดหัว และป่วนศัตรูพอกันจริงๆ ดังนั้น มันอาจไม่ใช่เรื่องของฝีมือล้วนๆ เพราะบางตัวได้อัลติเมทสกิลก็แทบจะเก็บศัตรูทีละหลายๆคนได้เลย
แต่ที่ต้องวัดฝีมือกันจริงๆก็คือระบบ Kill Streak ในระบบนี้เมื่อเราสังหารศัตรูได้อย่างต่อเนื่องจะเป็นคะแนนสะสมให้คุณปลดล็อคตัวช่วยที่โคตรโกง โกงยิงกว่าอัลติเมทสกิลซะอีก นั่นคือการเรียกกำลังเสริมที่สามารถปลิดชีพศัตรูได้แบบแน่นอนและเป็นจำนวนมาก เช่นอาวุธมิสไซล์จากกลางอากาศ , เฮลิคอปเตอร์จู่โจม , สไนเปอร์จู่โจม ซึ่งการที่จะปลดล็อคความสามารถจำพวกนี้ทำให้คุณสังหารศัตรูได้มากขึ้นไปอีก และคะแนนจะพุ่งมากขึ้นไปอีก แต่มันก็ทำได้ยาก เพราะคุณจะต้องไม่โดนฆ่าเลย กับเกมที่รวดเร็ว และไวระดับ Call of Duty คือความท้าทายเป็นอย่างยิ่ง และด้วยเหตุที่ตัวละครแต่ละตัวมีทักษะความสามารถที่พิเศษเท่าเทียมกัน บางตัวก็ซัพพอร์ตเพื่อนได้ บางตัวก็ลุยแหลกได้ ทำให้การเล่นส่วนมากจะสามารถเล่นได้แบบไม่ค่อยพึ่งทีมเวิร์คเท่าไร และถึงแม้จะแพ้แมทช์นั้น แต่เราก็ยังสะใจ หรือสนุกที่ได้ฆ่าผู้เล่นอื่นจนคะแนนติดอันดับต้นๆในส่วนของอาวุธในเกมนี้ ต้องบอกว่าคนที่เล่นก่อนก็จะได้เปรียบเพราะเลเวลที่สูงขึ้น จะปลดล็อคอาวุธที่ดีขึ้น แต่ก็ใช่ว่ามันจะโกงไปซะหมด เพราะว่าสุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับการใช้งาน การเล่นของผู้เล่นเองว่าถนัดปืนแบบไหน โดยเมื่อคุณปลดล็อคปืนนั้นมาแล้วและใช้ได้ก็จริง แต่การที่คุณจะแต่งปืนนั้นได้ คุณก็ต้องเอามันไปฝึกยิง ไปฆ่าคนจนเลเวลปืนอัพ ถึงจะปลดล็อคอุปกรณ์แต่งปืนชิ้นนั้นๆให้ Gameplay ส่วนของ Battlefield V
แต่กลับกันในส่วนของ Battlefield V นั้นต้องอาศัยความเป็นทีมเวิร์คสูงมาก และแน่นอนว่าผมไม่ได้ลืมว่าธีมเกมมันต่างกันกับ Call of Duty เกมนั้นจะออกแนวไซไฟ เทคโนโลยีชั้นสูง แต่กับ Battlefield นั้นเป็นเรื่องของสงครามโลก ธีมเกมที่ต่างกันทำให้เกมเพลย์แตกต่างกันด้วย ว่าด้วยเรื่องขนาดแผนที่ก่อน แผนที่ใน Call of Duty นั้นเป็นขนาดเล็กๆ เหมือนแมพเกม FPS ทั่วไป เพียงแต่มันจะมีความซับซ้อน ทางเลือกในการบุกที่หลากหลาย แต่ในขณะเดียวกัน Battlefield จะเป็นแมพขนาดใหญ่มาก เพราะผู้เล่นมันเยอะแบบ 32 ปะทะ 32 (ในขณะที่ Call of Duty มันแค่ 6 ปะทะ 6) และใน Battlefield V ตัวละครจะถูกแบ่งออกเป็นคลาส ซึ่งแต่ละคลาสจะมีความสามารถที่เกื้อหนุนกัน และจำเป็นที่จะต้องร่วมมือกัน อย่างเช่น - Assault จะเป็นหน่วยโจมตีระยะกลางถึงประชิด ดังนั้นในแผนที่จำเป็นจะต้องหาพื้นที่ที่ไม่ใช่พื้นที่โล่ง เพื่อที่การยิงต่อสู้จะได้ไม่เสียเปรียบ นอกจากนั้นคลาสนี้ยังมีความสามารถในการจู่โจมยานพาหนะด้วยอาวุธหนักอีกด้วย
- Recon หน่วยซุ่มยิงหรือมือสไนเปอร์ คลาสนี้ต้องอาศัยฝีมือการเล่นพอสมควร เพราะสไนเปอร์ในยุคสงครามโลกมันไม่ใช่ยิงง่ายๆ และมีระบบกระสุนตกกระสุนย้อย ยิ่งในเกมนี้แผนที่มีขนาดใหญ่ คนที่เล่นสไนเปอร์จะต้องมีฝีมือและทักษะพอสมควร
- Medic แพทย์สนามที่ใช้อาวุธเป็นปืนกลเบา ความสามารถพิเศษคือชุบเพื่อนที่ล้มได้อย่างรวดเร็ว เป็นคลาสที่จำเป็นอีกคลาส เพราะจะทำให้เพื่อนในทีมลุยได้อย่างไม่ติดขัด
- Engineer หน่วยซัพพอร์ทที่สามารถแจกจ่ายกระสุนให้เพื่อนร่วมทีมได้
เอาจริงๆต้องบอกว่าทุกคลาสใน Battlefield ทุกหน่วยมีความสำคัญมากจริงๆ เพราะกระสุนที่เกมนี้ให้มาตอนเริ่มต้นมันก็น้อยมากอยู่แล้ว ต่อให้เก่งกาจเพียงใด คุณก็ยิงได้เต็มที่ 4-5 คนติดเท่านั้นกระสุนคุณก็หมด การจะหากระสุนเพิ่มคุณอาจจะเก็บเอาจากศพศัตรู หรือหาตามกล่องกระสุนภายในแมพ แต่มันก็เสี่ยงและยากกว่า ดังนั้นการให้ Engineer มาช่วยซัพพอร์ทด้านกระสุนจะเป็นเรื่องที่ดีกว่ามาก รวมไปถึงในแต่ละคลาส เมื่อเราเล่นไปจนถึง Rank 8 ก็จะปลดล็อคคลาสขั้นสูงซึ่งมีความสามารถที่ดีขึ้นได้อีกด้วยนอกจากนั้นแม้จะเป็นเกมที่เล่นกันด้วยผู้เล่น 64 คน แต่เกมยังจะแบ่งออกเป็น Squad ย่อยๆ Squad ละ 4 คน ถ้าผู้เล่นไปคนเดียวก็จะถูกสุ่มไปจับคู่กับผู้เล่นอื่น จริงๆระบบนี้ถ้าจะบอกว่าดีมันก็ดีครับ เพียงแต่ถ้าไม่มีเพื่อนเล่นมันก็ดูงั้นๆนั่นแหละ ดังนั้นธีมของ Battlefield มันต่างกับ Call of Duty ตรงที่ความรวดเร็วในการเล่นเกม ฝั่ง Call of Duty จะสามารถบุกเดี่ยว เล่นโซโล่เอามันส์ได้ แต่ Battlefield มันทำไม่ได้ เพราะโหมดยอดนิยมของ Battlefield ไม่ใช่ Deathmatch แต่เป็น Conquest หรือการยึดจุด ในด้านอาวุธของ Battlefield V ก็จะคล้ายๆกับ Call of Duty นั่นคือคุณต้องเอาอาวุธไปใช้ให้เชี่ยวชาญพอจนเลเวลสูง แต่มันจะเป็นการเรียนสกิลของปืนนั้นๆ โดยจะมีทั้งหมด 8 สกิล แต่เราจะเลือกเรียนได้เพียง 4 สกิลเท่านั้น ในส่วนของอุปกรณ์แต่งปืนก็มีน้อยหน่อย เพราะธีมมันเป็นสงครามโลก อาจจะมีพวกลำกล้อง ด้ามจับ แตต่หลักๆก็เป็นการแต่งสีสัน ไม่ค่อยได้เพิ่มสเตตัสให้ตัวปืนมากเท่าที่ควรสรุปในด้านเกมเพลย์แล้ว เรื่องแบบนี้ก็อยู่ที่คนชอบเล่นแบบไหน เพราะว่าทั้งธีมเกม ทั้งโหมดยอดนิยม ล้วนแต่เป็นคนละธีมและคนละโหมดทำให้มันขึ้นอยู่กับสไตล์การเล่นของเราล้วนๆเลย ซึ่งผมจะสรุปให้แบบเห็นชัดๆดังนี้- จุดเด่นของ Call of Duty: Black Ops 4
- โหมดยอดนิยมคือ Deathmatch , Kill Confirm ที่ใช้เวลาในการเล่นน้อยมาก
- เน้นเกมไว เจอหน้ากันถ้าช้าคุณก็ร่วง
- ตัวละครมีสกิล และทักษะพิเศษติดตัว ต้องใช้ให้เป็น ฆ่าให้เยอะ จะได้ใช้อัลติเมทสกิลได้บ่อยขึ้น
- แผนที่ขนาดเล็ก เน้นเกมเร็ว จบเร็ว (เฉพาะโหมด Deathmatch)
- การแต่งปืนที่ใช้ระบบ Perk Card ถ้าเต็มก็แต่งเพิ่มไม่ได้ ดังนั้นผู้เล่นต้องบริหาร Perk กันดีๆหน่อยว่าจะแต่งยังไงให้เหนือกว่าคนอื่น และถนัดปืนนั้นหรือไม่
- กราฟิกไม่ได้ขี้เหร่เลย สวยงามใช้ได้ แถมไม่กินสเปคเครื่องเท่าที่ควรด้วย
- เป็นเกมที่คุณสามารถฉายเดี่ยวลุยแหลกได้โดยไม่ต้องมีเพื่อน เพราะเกมมันแคชชวล มันเข้าถึงง่าย แต่มีก็ดีครับ จะได้หาคนแชร์ความร้อนของหัว 555
- จุดด้อยของ Call of Duty: Black Ops 4
- ความรวดเร็วของเกมไม่เป็นมิตรกับผู้เล่นหน้าใหม่เอาซะเลย ยิ่งถ้าคุณเพิ่งซื้อเกมมาแล้วสุ่มไปเจอกับพวกที่เล่นจนโปรๆแล้ว บอกเลยว่ามันคือนรกของแท้ เพราะคุณแทบจะเป็นไก่ให้เขายิงเอาๆ ปั๊มสกอร์กันสนุกสนาน
- บางสกิล บางทักษะของตัวละครก็ Overpower เกินไปหน่อยจนทำให้หัวอุ่นเอาได้ง่ายๆ
- ความแตกต่างระหว่างคนเล่นก่อนและหลังค่อนข้างเยอะ ผู้เล่นเลเวลสูงจะมีทางเลือกในการปลดล็อคปืนมาใช้ได้มากกว่า บางปืนมี MOD พิเศษที่โคตรขี้โกง แต่สุดท้ายแล้วมันก็ขึ้นอยู่กับฝีมือด้วย
- ถ้าไม่ได้เล่นประจำหรือมีเวลาเล่นตลอด การวางมือไปสัก 2-3 วันก็เพียงพอที่จะทำให้มือคุณตกได้แล้ว ดังนั้นถ้าไม่มีเวลาเล่นทุกวันประจำก็อย่าดีกว่า
- โหมดยอดนิยมคือโหมด Conquest หรือการยึดจุด
- การออกแบบแผนที่ขนาดใหญ่ ทำให้การเล่น 32 v 32 ดูออกมาอลังการงานสร้างมากๆ
- หากคุณชอบธีมสงครามโลกที่ดูยิ่งใหญ่ ยังไง Battlefield V นี่ล่ะตอบโจทย์
- เน้นการเล่นเป็นทีมสูงมาก มีการแบ่งหน้าที่ คลาส กันชัดเจน แต่ไม่ใช่ว่าจะเล่นคนเดียวไม่ได้ เล่นได้ เพียงแต่ถ้าเล่นกับคนที่รู้จัก หรือเป็นเพื่อนกันมันจะสื่อสารกันได้ดีกว่า ทำให้เล่นได้สนุกกว่า
- กราฟิกสวยงาม สมคุณภาพ Frosbite Engine
- เกมเพลย์ที่ไม่รวดเร็วเกินไป กำลังพอดีๆ มือใหม่มาก็เล่นและปรับตัวตามได้ไม่ยาก ไม่มีความเหลื่อมล้ำกับคนเล่นเก่าเท่าไรนัก (ยกเว้นเรื่องความชำนาญแผนที่)
- โหมด Conquest ที่เป็นโหมดยอดนิยม ใช้เวลาเล่นค่อนข้างนานมาก หากเทียบกับเกม FPS เกมอื่นๆ (เอาแบบตึงมือเลยคือเกือบชั่วโมงก็มี) ดังนั้นก่อนเล่น ระหว่างเล่นนี่ต้องเตรียมพร้อมจริงๆ
- คนมาเล่นทีหลังหรือมือใหม่ อาจจะเสียเปรียบเรื่องความชำนาญของแผนที่ แต่มันก็ศึกษากันได้ อาศัยเก็บสะสมประสบการณ์เอา
หากเทียบวัดกันตรงๆแล้ว ผู้เขียนมองว่าทั้งข้อดีและข้อเสียของมันบวกลบกันแล้วก็พอๆกันเลย ไม่ต่างกันมาก ใกล้เคียงกัน ทีนี้คำถามโลกแตกคือ แล้วเกมไหนมันดีกว่ากันล่ะ ? ถ้าคุณอ่านบทความนี้มาจนถึงตอนนี้แล้วผมว่าคำตอบมันก็น่าจะมีในใจบ้างแล้วนะครับ เพราะคำตอบที่ผมจะให้คือ"คุณชอบเกมไหน ก็เกมนั้นแหละ ดีกว่าในสายตาคุณ"
นั่นเพราะว่าสองเกมนี้มันมีเกมเพลย์การเล่นที่แตกต่างกันมาก โหมดยอดนิยมก็ไม่เหมือนกัน ระบบต่างๆถึงจะคล้ายกันบ้างแต่ก็มีลายเซ็นความต่างและเอกลักษณ์ของตัวเอง ดังนั้นอยู่ที่ว่าคุณชอบแบบไหน ชอบแบบรวดเร็วหรือพอดีๆ ชอบแบบไซไฟอนาคตสุดล้ำ หรือสงครามโลกที่ให้บรรยากาศสมจริงสมจัง คุณเป็นคนเลือกเองว่าคุณชอบเกมไหน แต่ถ้าถามตัวผู้เขียนเองนั้น ผู้เขียนชอบทั้งสองเกมครับ วันไหนที่อยากเล่นอะไรเร็วๆ มันส์ๆหน่อย ผมก็เข้า Call of Duty แต่ถ้าวันไหนอยากเล่นแบบเอาบรรยากาศสงคราม เน้นเล่นเป็นทีมหน่อย ผมก็เข้า Battlefield เพราะตัวผู้เขียนเองเล่นทั้งสองเกม ซื้อทั้งสองเกม แต่ถ้ามีงบให้เลือกแค่เกมเดียว คุณก็ต้องลองถามตัวเองดูแล้วว่า ตัวคุณเหมาะกับเกมเพลย์แบบไหนมากกว่ากัน
ไม่มีเกมไหนดีกว่าเกมไหน มันมีแค่เกมที่คุณชอบ
ก็หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณมองเห็นอะไรหลายๆอย่างจากสองแฟรนไชส์เกมชื่อดังนี้ได้บ้างนะครับ โอกาสหน้าเราจะพาคุณไปเจาะลึกเกมไหนอีก อย่าลืมกด Like กดติดตาม PlayUlti ของเราเอาไว้ให้ดี สำหรับวันนี้ สวัสดีครับ!