- ปี 2013 เกม Dota 2 ได้มีแผนจัดงานแข่งขันระดับโลกในชื่อ The International 3 (TI3) แต่ก่อนจะจัดขึ้นมา ทางผู้สร้างก็ได้ขายสิ่งที่มีชื่อว่า Battle Pass โดยเมื่อผู้เล่นได้ทำการซื้อ จะทำให้ได้รางวัลพิเศษมากมาย ขณะที่เงินจำนวนหนึ่งของพวกเขา จะถูกนำไปเพิ่มให้กับเงินรางวัล TI3 อีกต่างหาก
- ในเวลานั้น Battle Pass เป็นเพียงแค่สิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาให้ผู้เล่นได้รับรางวัลเป็นไอเทมสุดพิเศษในเกมเฉยๆ หรือได้มีส่วนร่วมโหวดอะไรต่างๆ ภายในงาน TI 3 แต่มันก็ประสบความสำเร็จมาก ไม่ว่าจะทำให้ TI กลายเป็นศึกมีเงินรางวัลสูงอันดับต้นๆ ทุกปีของอีสปอร์ต จึงยังส่งผลให้มีการขาย Battle Pass ก่อนทุกครั้งที่จัดงาน
- Battle Pass ในช่วงหลังจาก TI3 ได้มีการพัฒนา และเพิ่มลูกเล่นใหม่เข้ามาตลอด จนช่วงหลังยังกลายเป็นสิ่งทำให้ผู้เล่นต้องทำเควสภายในเกม เพื่อจะปลดล็อกรางวัลไอเทมเพิ่มเติม ซึ่งทำให้ผู้เล่น Dota 2 มีกิจกรรมทำยาวๆ นอกจากจะเล่นเพื่อเอาชนะกัน (แต่ก็จะมีขายเฉพาะช่วงมีการจัดแข่งขันเท่านั้น จึงทำให้ค่ายเกมอื่นไม่ได้สังเกตการทำเงินตรงนี้อะไรมาก)
- Battle Pass ถือเป็นสิ่งทำเงินให้ทางผู้สร้างพอสมควร เนื่องจากผู้เล่นสามารถครอบครอง Battle Pass ได้ในราคาต่ำสุดอยู่ที่ 300 กว่าบาท แต่หากไม่ว่างทำภารกิจเพื่อปลดล็อครางวัลไอเทมของ Battle Pass เพิ่มเติม ก็สามารถจ่ายเงินให้ทางผู้สร้างแทนได้ (เหตุผลที่ว่าทำไม Battle Pass 1 ชุด ต้องมีไอเทมให้ปลดแทบเกือบ 100 ชิ้น หรือมีให้ต้องเก็บครบ 100 เลเวล)
- คาดการณ์ว่า Battle Pass น่าจะเป็นไอเดียที่ดัดแปลงจากการขายเกมฟอร์มยักษ์ต่างๆ ที่มักขายชุดรวม DLC เพิ่มเติมในชื่อ Season Pass
- อย่างไรก็ตาม เกมอื่นๆ ก็อาจจะมีระบบที่ทำเหมือน Battle Pass มาก่อนหน้า Dota 2 ก็เป็นได้ แต่ที่ Dota 2 ต้องนับเป็นจุดกำเนิด ก็เพราะเป็นคนตั้งชื่อมันว่า Battle Pass นั่นเอง
- ในปี 2018 กระแสเกม Battle Royale ถือว่ากำลังมาแรงมาก แถมมีให้เลือกเล่นทั้ง PUBG, Fornite หรือในมือถืออีกเพียบ แต่มีเกมหนึ่งที่ทำกำไรสุดโหดในปีนั้นคือ Fortnite เพราะทุกๆ ซีซั่นภายในเกม พวกเขาได้ทำการขายสิ่งที่มีชื่อว่า Battle Pass (ปีนึงมีประมาณ 4 ซีซั่น)
- ผู้สร้าง Fortnite ได้นำไอเดีย Battle Pass มาจากเกม Dota 2 ซึ่งมีจุดเด่นคือไม่ได้เอามาขายเพื่อเชิงอีสปอร์ต แต่เอามาประยุกต์ขายเพื่อให้ผู้เล่นได้มีสิทธิ์ปลดล็อกรางวัลเพิ่มเติมโดยเฉพาะ และมีอะไรทำในทุกๆ ซีซั่น แถมยังมี Battle Pass แบบฟรีให้สายไม่ชอบเติมอีกด้วย
- ในปี 2018 มีรายงานว่า Fortnite สามารถทำเงินได้เกือบถึง 75 หมื่นล้านบาท แถมยังเคยเผยว่าการขาย Battle Pass ในซีซั่น 3 ภายในวันแรก ก็สามารถทำเงินไปได้มากกว่า 15 หมื่นล้านบาทแล้ว
- หลังจากข่าวการทำเงินจนรวยเละของผู้สร้างเกม Fortnite กลายเป็นที่น่าสนใจมากๆ ทางด้านเกมอื่นหรือเกมใหม่ ก็เริ่มมีการใส่ Battle Pass ให้เห็นมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคู่แข่งอย่าง PUBG หรือแม้แต่เกมฟอร์มยักษ์ Red Dead Redemption 2 ในโหมดออนไลน์ แถมถ้าไปดูในเกมมือถือ ก็เรียกว่าต้องมีแทบทุกเกมแล้วจริงๆ
- แทบทุกเกมส่วนใหญ่จะใช้ระบบที่อ้างอิงมาจาก Fortnite คือผู้เล่นสามารถปลดรางวัล Battle Pass ฟรีๆ ได้ แต่ถ้าอยากได้รางวัลเพิ่ม ก็ต้องเติมให้ตัวเองเป็นผู้เล่นพิเศษก่อน แล้วถ้าไม่ว่างปลดล็อกรางวัล ก็สามารถจ่ายเงินให้ผู้สร้างแทนได้
- ในช่วงท้ายปี 2019 เกม Counter-Strike: Global Offensive ได้มีการปล่อยอัปเดตใหญ่ในรอบหลายปี ซึ่งก็ยังมาพร้อมระบบ Battle Pass คล้ายกับเกม Fortnite จนส่งผลให้ในปัจจุบัน เกมยังกลับมาติดอันดับ 1 ผู้เล่นสูงสุดบน Steam
- แม้แต่บางเกม MMORPG ก็เลือกที่ใส่ระบบนี้เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็น Destiny 2 หรือ Bless Unleashed
- Battle Pass ยังคงเป็นสิ่งที่ทางผู้สร้างเลือกจะใส่เข้ามาภายในเกมใหม่ปี 2020 นี้ เพราะเกมที่จะวางขายในวันที่ 4 กันยายน 2020 อย่าง Marvel's Avenger ก็ใส่เข้ามาให้ปลดล็อกสกินฮีโร่ยาวๆ ด้วย
- ทำให้ผู้เล่นได้มีอะไรทำยาวๆ ภายในเกมหนึ่งที่อาจจะเล่นจบไปแล้ว เพราะผู้เล่นก็สามารถแค่ซื้อ Battle Pass นั้นมาในราคาถูก แล้วใช้วิธีทำภารกิจปลดล็อครางวัลเพิ่มเติมเอาก็ได้ (หรือที่เรียกว่าใช้เวลาแลกเงิน)
- จากด้านบน จึงทำให้หลายคนก็สามารถเข้าถึง Battle Pass ได้ง่ายๆ เพราะไม่ต้องจ่ายแพงต่อรอบนึงขนาดนั้น
- ในหนึ่ง Battle Pass จะมีรางวัลให้ปลดล็อคเยอะมาก เพื่อให้ผู้เล่นต้องใช้เวลานานๆ ในการจะปลดล็อคทั้งหมด ซึ่งถ้าใครไม่ว่างก็ต้องจ่ายเงินแทน ถือเป็นสิ่งที่แฟร์ๆ ทั้งผู้ผลิต และผู้บริโภค
- ทำให้เกมมีงบปล่อยอัปเดตใหม่ๆ อยู่ไปอีกนานหลายปี
- หลายเกมยังให้ผู้เล่นสามารถปลดล็อครางวัล Battle Pass ได้ฟรีๆ เลย
- ส่วนใหญ่ใน Battle Pass จะมอบรางวัลให้ผู้เล่นแบบตายตัว ไม่มีการสุ่มเหมือนกล่องกาชา ส่งผลให้มันเหมือนเป็นการันตีว่าเราจะได้สิ่งนั้นแน่ๆ ถ้าเราปลดล็อก
- เนื่องจากทุกคนก็สามารถเข้าถึง Battle Pass ได้ง่ายมากๆ จึงส่งผลทำให้คนอื่นนั้นก็มีรางวัลเหมือนกับเราได้เช่นกัน แล้วรางวัลพวกนั้นก็จะดูมีค่าลดน้อยลงไป
- เนื่องจากทุกคนก็สามารถจ่ายเงินเพื่อปลดล็อครางวัลใน Battle Pass แทนได้ด้วย จึงส่งผลให้บางคนอาจรู้สึกไม่คุ้มค่าเหนื่อยต่อเวลาที่ต้องใช้ปลดล็อกรางวัลนั้นๆ
- หลายเกมมีการจำกัดภารกิจให้ผู้เล่นเก็บเลเวลไปปลดล็อครางวัลต่อ 1 วัน จึงส่งผลให้ผู้เล่นอาจต้องใช้เวลาจะปลดล็อกหลายวันด้วย ขณะที่คนจ่ายแทนสามารถปลดภายในวันแรกได้ครบเลย