[Review] Darksiders Genesis เกมม้ามืดนอกกระแสที่คอแอคชั่น Co-Op ต้องลองสักครา!!

Playulti 12 Dec 2019, 23:10:17
ข่าวเกม PC


Darksiders Genesis จัดว่าเป็นหนึ่งในเกมม้ามืดสุดเร้าใจที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในเวลานี้ [ทั้งฝั่งประเทศไทยและฝั่งต่างประเทศ] ซึ่งเป็นผลงานจากทีมผู้พัฒนาน้องใหม่ Airship Syndicate ที่ถูกเชิญมาพัฒนาเกมซีรีส์ขึ้นหิึ้งของค่ายยักษ์ใหญ่ THQ Nordic ให้แตกแขนงออกไปเป็นภาค Spin-off ย้อนอดีตก่อนเกิดเหตุการณ์ในเหตุการณ์หลัก ซึ่งหลังจากวางจำหน่ายมาได้สัปดาห์หนึ่งแล้ว ตัวเกมได้รับเสียงตอบรับและคำวิจารณ์ไปในทางบวกอย่างล้นหลาม และแน่นอนว่าทามาโมะจังได้ลองเข้าไปสัมผัสมาแล้วก็ติดหนึบจนถอนตัวไม่ขึ้นเลยทีเดียว (ฮา) ทางเราจึงตัดสินใจทำบทความรีวิวมาให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันว่าทำไมตัวเกมถึงน่าสนใจจนต้องลองเล่นถึงขนาดนี้!!




เนื้อเรื่องที่สนุกและย่อยง่าย แฝงอารมณ์ขันแบบฮาบ้างไม่ฮาบ้าง


เนื้อเรื่องภายในเกมจะให้เราได้รับบทเป็น War และ Strife สองในสี่จตุรอาชา (Horsemen) ที่ได้รับคำสั่งจากสภา (The Council) ให้ไปกำจัดราชาปีศาจแห่งนรก Lucifer ที่คิดการใหญ่ หมายมั่นในที่จะทำลายความสมดุลของภพมนุษย์ รายล้อมไปด้วยไฟนรกโลกันต์จนไม่เหลือสภาพดั้งเดิม พร้อมตัดสินใจมอบพลังแก่เหล่าปีศาจชั้นสูง (Master Demons) ทั่วทั้งขุมนรก เพื่อหมายมั่นปลุกระดมกองทัพทลายความสมดุลเช่นนี้เอง โดยสภาได้แนะนำให้ทั้งสองไปหา Samael จ้าวปีศาจแห่ง Blackstone Keep ซึ่งคาดว่าอาจกำลังให้ความร่วมมือกับ Lucifer

แต่กลับปรากฏว่า Samael ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น เจ้าตัวจึงให้ความร่วมมือ ในการออกตามหา Lucifer อีกแรงหนึ่ง ถึงแม้ว่า War และ Strife อาจต้องทำข้อแลกเปลี่ยนเงื่อนไขบางอย่างที่ไม่พึงพอใจก็ตาม ทว่าพอพวกเขายิ่งสืบค้นไปเรื่อยๆ กลับพบว่าราชาปีศาจแห่งนรกกำลังวางแผนบางสิ่งบางอย่างที่เหนือความคาดหมายเอามากๆ บางทีอาจถึงขั้นส่งผลกระทบต่อภพเทวดา, ภพปีศาจ และสวนอีเดนก็เป็นได้ ทามาโมะจังขอปิดเนื้อหาแต่เพียงเท่านี้ ไม่งั้นเดี๋ยว Spoil Alert แนะนำว่ามาลุ้นเอาใจช่วยพวกเขาผ่านการเล่นเองดีกว่านะจ๊ะ



ถ้าให้ว่ากันตามตรง พล็อตเรื่องของ Darksiders Genesis ไม่ได้หวือหวาอะไรมากนัก กลับกันมันดูเรียบง่าย + ไม่ซับซ้อนเท่าภาคก่อนๆ ของเกมซีรีส์นี้ บางจังหวะเลยพอเดาเรื่องราวต่างๆ ได้ไม่ยากทีเดียว ถึงกระนั้นตัวเกมกลับเล่าเรื่องออกมาให้สนุกให้น่าติดตามอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งยังปล่อยมุกตลกจิกกัดปนเสียดสีของ Strife ที่แฝงมากับอารมณ์ขันแบบฮาบ้างไม่ฮาบ้าง จนอยากรู้จริงๆ ว่าหาก Darksiders 4 พี่แกเป็นตัวเอกหลักแล้วจะปล่อยมุกตลกแบบไหนมาสร้างสีสันต่อการดำเนินเรื่องที่เข้มข้นในเวลานั้นๆ 

ส่วนลักษณะการดำเนินเรื่องภายในเกมจะเล่าผ่านเสียงพากย์แบบบทสนทนาคล้ายเกม Visual Novel แต่กลับนำเสนอออกมาได้อย่างมีชั้นเชิง แถมยังมีฉากคัตซีนสไตล์การ์ตูนแทรกมาเป็นระยะๆ อีกด้วย แอบเสียดายที่มีไม่ค่อยเยอะเท่าไหร เพราะมันเป็นเอกลักษณ์ที่ดีเสน่ห์มากๆ



ระบบการต่อสู้ที่ต่อคอมโบได้ง่ายมากๆ ยิ่งถ้าเล่นโหมด Co-Op แล้วล่ะก็...


นับว่าเป็นทิศทางใหม่ของเกมซีรีส์นี้ที่มาในรูปแบบของเกมแนว Action RPG Hack & Slash [เดินหน้าฟันแหลก] ในมุมมอง Bird Eye View [มองจากด้านบนลงมา] เพราะในคราวนี้เพื่อนๆ ถูกจับโยนลงมาอยู่ท่ามกลางฝูงมอนสเตอร์, Mini Boss และ Main Boss ที่ทั้งอึด ทั้งถึก ทั้งทน ทั้งท้าทาย ทำให้เราจำเป็นต้องคอยต่อคอมโบที่รวดเร็วแบบสะใจ การแดชหลบหลีก การบล็อคป้องกัน รวมไปถึงการใช้ท่า Finisher ปิดท้ายเมื่อเลือดของศัตรูเหลือน้อยระดับหนึ่งให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ไม่อย่างงั้นอาจตายซ้ำหลายรอบเลย

โชคดีที่การกดปุ่มต่อคอมโบไม่ได้ซับซ้อนมากนัก ยิ่งไปกว่านั้นตัวเกมล้วนอุดมไปด้วยทักษะสกิลหลายชนิด + สามรถแปลงร่างให้มีขนาดยักษ์ที่คงสภาพอมตะชั่วคราว เรียกได้ว่าแทบเล่นกันเพลินๆ จนลืมเวลาไปเลย (ฮา) อีกทั้งเกมประเภทนี้จะต้องมีองค์ประกอบที่ทุกคนต่างก็คุ้นเคยกันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพียงแต่มันก็ใช่ว่าจะทำกันได้ง่ายๆ เนื่องจากมีเงื่อนไขบางอย่างมาเป็นตัวขัดขวางไม่ให้ใช้งานระบบดังกล่าว ส่งผลให้เพื่อนๆ จำเป็นต้องออไปฟาร์ม + วนด่านอยู่สักพักใหญ่ๆ เช่นกัน ซึ่งแบ่งทั้งหมดออกดังต่อไปนี้ 



 การอัพเกรดค่าสถานะตัวละคร / Creature Cores

ระบบอัพเกรดค่าสถานะของตัวละครในรูปแบบแผนผังต้นไม้ [Skill Tree] ได้แก่ พลังโจมตี [Attack], พลังความโกรธ [Wrath] กับพลังชีวิต [Health] เป็นต้น โดยจำเป็นต้องเพิ่มพลังค่าสถานะต่างๆ ลงในช่องว่างเปล่าด้วย Creature Cores หรือก็คือ ผลึกที่ได้มาจากการปราบมอนสเตอร์และ Main Boss ทุกครั้ง โดยมอนสเตอร์ธรรมดาจะสุ่มไปตาม % ว่าตัวไหนจะดรอปผลึกออกมา จากนั้นเราจะเลือกใส่ / เลือกปรับเปลี่ยนลงช่องตามประเภทต่างๆ ได้ตามใจชอบ อย่างไรเสียมันจะช่วยปรับความบาลานซ์ให้เข้ากับตัวละครอยู่แล้วล่ะค่ะ



 การปลดล็อคท่าคอมโบ / Dis ปีศาจสาว ร่างกายท้วมๆ

ตรงตามหัวข้อเลย คือ การปลดล็อคท่าคอมโบของ War และ Strife ให้มีหลายกระบวนท่ามากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ซึ่งจะปลดล็อคด้วยการรวบรวม Souls [วิญญาณสีฟ้า - ได้จากการปราบศัตรู] กับ Boatman's Coin [เหรียญสีเขียว - กระจัดกระจายตามดันเจี๊ยนแต่ละแห่ง] ให้ครบตามที่กำหนด

 การซื้อไอเทม / Vulgrim ปีศาจชาย หัวเป็นกระโหลก

ตรงตามหัวข้อเลย คือ การซื้อไอเทมประเภทต่างๆ อาทิ Items : กุญแจไว้เปิดห้องลับ กับ Shard สำหรับเพิ่มพลังให้ตัวละคร, Upgrades : ปลดล็อคทักษะสกิลต่างๆ กับ ค่าสถานะแบบ Passive, Cores : ซื้อสะสมเพื่ออัพเกรดผลึกนั้นๆ เป็นต้น ซึ่งจะปลดล็อคด้วยการรวบรวม Souls [วิญญาณสีฟ้า - ได้จากการปราบศัตรู] กับ Boatman's Coin [เหรียญสีเขียว - กระจัดกระจายตามดันเจี๊ยนแต่ละแห่ง] ให้ครบตามที่กำหนด



มิหน้ำซ้ำยังรองรับการเล่นโหมดออนไลน์ 2 คนแบบ Local Co-Op และ Online Co-Op อีกด้วย วิธีการเชื่อมต่อก็ง่ายๆ เพียงแค่ไปที่เสาหิน Summoning Stone ตามจุดต่างๆ ของดันเจี๊ยน จากนั้นเลือกได้ว่าจะเล่นแบบแยกหน้าจอครึ่งหนึ่งทั้งสองฝั่ง (Spiltscreen Co-Op) หรือว่าเล่นแบบออนไลน์ เครื่่องใครเครื่องมัน ไม่มีการแบ่งหน้าจอ (Join / Invite a Friend) ตรงจุดนี้ทามาโมะจังขอยอมรับความระบบเชื่อมต่อเสถียรดีมากๆ ณ ตอนนี้แทบยังไม่เห็นอาการแลค / อาการปิงแม้แต่น้อย ยิ่งควบคู่กับระบบ Remote Play Together ของแพลตฟอร์ม Steam ที่ปรับเปลี่ยน Local Co-Op ของเกมนี้มาเล่นแบบ Online Co-Op ก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่

Replay Value คุณค่าในการเล่นซ้ำที่สูงพอสมควร (แต่ก็อาจเบื่อง่ายเช่นกัน)


Darksiders Genesis ถือว่าอยู่ในหมวดหมู่ของเกมที่มีคุณค่าในการเล่นซ้ำที่สูงพอสมควร นั้นก็เพราะระบบเกมเพลบ์ที่สนุกและไม่น่าเบื่อ พร้อมกับกิจกรรม / คอนเทนต์ที่มีของรางวัลมาแจกกันให้เพียบ สิ่งเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นให้อยากลองสำรวจอะไรที่ซ่อนเร้นอยู่ แต่ในขณะเดียวกัน Replay Value ของเกมดังกล่าว เมื่อถึงจุดอิ่มตัวในระดับหนึ่งก็อาจทำให้เพื่อนๆ รู้สึกไม่อยากกลับมาเล่นซ้ำอีกแล้ว เนื่องมาจากตัวกิจกรรม / คอนเทนต์ที่เริ่มซ้ำซากจำเจจนเกินไป ซึ่งก็ประกอบไปด้วยเนื้อหาดังต่อไปนี้นะคะ

 การออกตามหาของรางวัลปลดล็อคตามจุดต่างๆ 

ในแต่ละดันเจี๊ยนจะไม่ได้มีแค่เควสภารกิจหลักเท่านั้น มันยังประกอบไปด้วยเควสภารกิจรองที่พอทำสำเร็จแล้วจะมอบของรางวัลให้ที่หน้าเมนู "Quests", Boatman's Coin เหรียญสีเขียว, กล่องสมบัติที่มอบไอเทมฟื้นฟูต่างๆ และของรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ก็คือ ของปลดล็อคทักษะสกิล กับ ค่าสถานะแบบ Passive ยังไงล่ะ! มันเลยทำให้เพื่อนๆ สายสะสมต้องกลับมาเล่นซ้ำอีกหนหนึ่ง



 การไขปริศนาเพื่อหาเส้นทางลับไปในจุดต่างๆ ของดันเจี๊ยน

ตลอดการสำรวจในดันเจี๊ยนจะมีปริศนาเล็กๆ น้อยๆ ให้แก้ไขเพื่อสร้างทางไปต่อ โดยจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ Gears ของตัวละครแต่ละคน ซึ่งจะมีวิธีการใช้งานแตกต่างกันไป เพียงแต่กว่าจะปลดล็อค Gears ทุกรูปแบบ ก็ต้องผ่านการเล่นเนื้อเรื่องไปสักระยะหนึ่งเลยทีเดียว ดังนั้นผู้เล่นที่ค้างคาใจอยากสะสมของรางวัลที่เหลืออยู่ แต่ดันไม่มีวิธีแก้ไขปริศนาก็จำเป็นต้องย้อนกลับมาเล่นใหม่อีกครั้ง

 The Arena การตะลุมบอนใส่ฝูงมอนสเตอร์เป็น Wave 

อีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้เล่นที่ต้องการความท้าทายระดับสูงสุด เมื่อเราเข้าไปเล่นโหมดดังกล่าวปุ๊บ เพื่อนๆ จะได้ต่อสู้กับฝูงมอนสเตอร์ที่โผล่มาเป็น Wave ถึงสิบรอบด้วยกัน โดยรอบที่สิบจะมี Boss Fight มาให้ปราบอีกด้วย ถ้าหากเคลียร์ Wave ในแต่ละลำดับขั้นสำเร็จ + สะสมค่า AP ได้ตามเป้า รับไปเลยของรางวัลอันแสนคุณค่า เช่น Creature Cores, Souls, Boatman's Coin และกุญแจไว้เปิดห้องลับ



ประสิทธิภาพของตัวเกมที่พอใช้ได้ และข้อเสียที่ไม่ควรมองข้าม


กราฟิกที่ขับเคลื่อนด้วย Unreal Engine 4 จึงทำให้งานภาพที่แสดงออกมาดูสวยงามตามระดับเกม Next-Gen (แม้พอมองใกล้ๆ แล้วแอบดูหยาบๆ ก็ตาม) ทว่าในขณะเดียวกันตัวเกมก็แอบกินสเปกคอมโหดเอาเรื่อง เพราะขนาดขั้นต่ำสุดยังต้องใช้การ์ดจอ Nvidia GeForce GTX 960 เลยล่ะค่ะ ดังนั้นไม่แปลใจเลยว่าทำไมการ Optimize ถึงยังติดๆ ขัดๆ อย่างเฟรมเรทตกไปบ้าง อย่างน้อยก็อุ่นใจที่ตัวเกมแทบไม่มีอาการเกมแครช หรือเด้งออกหน้าจอเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเวลาเล่นโหมดออนไลน์แบบ Co-Op ที่เชื่อมต่อได้ลื่นไหลสุดๆ



แต่ข้อเสียก็ใช่ว่าจะไม่มีเลยนะ Darksiders Genesis อาจเป็นหนึ่งในเกมที่ออกแบบระบบแผนที่ได้แย่มากๆ ก็ว่าได้ เนื่องจากมันไม่มีการแสดง Mini-Map [แผนที่ขนาดเล็ก] ระหว่างการออกสำรวจึงคอยมากดปุ่มตรวจดูแผนที่ขนาดใหญ่อยู่ตลอดเวลา แถมที่สำคัญดันไม่มีตัวบ่งชี้ที่ช่วยบอกได้เลยว่าเราอยู่ตรงจุดไหนของดันเจี๊ยน ผมก็คือเสียเวลามานั่นกะระยะทาง + ขนาดพื้นที่เอาเอง เชื่่อเถอะว่าใครเล่นรอบแรกจะต้องงงเป็นไก่ตาแตก (อย่างน้อยมันก็ถูกทดแทนมาด้วยระบบขี่ม้าในบางพื้นที่ของดันเจี๊ยน) รวมไปถึงบัคเจ้าปัญหาในบางดันเจี๊ยน ตัวละครจะติดหนึบในพื้นที่แห่งหนึ่งจนขยับไปไหนไม่ได้ 

สรุปเลยนะจ๊ะ ต่อให้คุณเป็นแฟนพันธุ์แท้ของเกมซีรีส์นี้หรือไม่ก็ตาม Darksiders Genesis ถือว่าเป็นเกมแอคชั่นเดินหน้าฟันแหลกที่มีระบบการเล่นที่จัดว่าสนุกใช้ได้ และสู้กับบอสสนุกทีเดียว อีกทั้งรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆ ทำออกมาเข้าใจได้ง่าย ต่อให้คุณกดปุ่ม / จัดเรียงกันมั่วๆ ซั่วๆ แค่ไหนก็เล่นได้เพลินๆ ดี หากตัดข้อเสียตรงในส่วนของระบบแผนที่ ก้ับปัญหากวนใจอีกสองสามอย่างล่ะก็ ตัวเกมที่กระแสมาแรงแบบปากต่อปากถึงขนาดนี้ ใครไม่ได้เล่นเนี่ยถือว่าพลาดมากๆ เลยล่ะค่ะ ตอนนี้วางจำหน่ายเฉพาะบน PC [Steam] ด้วยราคาสบายกระเป๋าเพียงแค่ 559 บาท ส่วนฝั่งคอนโซลทุกแพลตฟอร์มจะวางจำหน่ายในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ปี 2020

คะแนน : 8.5/10 [Excellent Game]



กำลังโหลด...