ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหลังจากการปล่อยให้เล่นอย่างเป็นทางการของเกมที่ใช้เวลาพัฒนากว่า 10 ปีอย่าง Detroit: Become Human ในวันที่ 25 พฤษภาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทิศทางของการพัฒนาเกมครั้งใหญ่อีกครั้ง หลังจากที่ทั้งสื่อพร้อมที่จะให้คะแนนไปในทางบวก พร้อมกับผู้เล่นเกมทั่วโลกต่างยกนิ้วให้กับความสำเร็จของเกมนี้ และเป็นอีกครั้งที่เกมจากค่าย Quantic Dream ได้สร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับผู้เล่นเรื่อยมาตั้งแต่สมัยเกม Fahrenheit, Heavy Rain จนถึง Beyond: Two Souls ซึ่งวันนี้เราจะมาพูดถึงความเป็นมา รวมไปถึงลำดับการพัฒนาของเกม ที่ผู้พัฒนาเกมเหล่านี้อย่าง David Cage ได้วางมาตรฐานใหม่ให้กับวงการเกม และรวมไปถึงวงการภาพยนตร์อีกด้วย
เราจะมาเริ่มต้นด้วยเกมที่เป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาซึ่งนั่นก็คือ Omikron: The Nomad Soul จาก PC และเครื่อง Sega Dreamcast ซึ่งความน่าสนใจของเกมนี้ คือเป็นเกมที่มีการผสมผสานกันระหว่างเกมแนว Puzzle ผสมกับแนวยิงต่อสู้ 1-1 แต่น่าเสียที่ว่าเกมนี้ ยังไม่สามารถตอบโจทย์ผู้เล่นได้เท่าที่ควร แต่ถือว่าเป็นการปูทางการผสมผสานแนวทางการพัฒนาเกมในอนาคตของเกมค่ายนี้ในเกมต่อๆ มา
Fahrenheit หรืออีกชื่อว่า Indigo Prophecy จากเครื่อง PlayStation 2 และ Xbox ที่สร้างปรากฏการณ์ทำให้วีดีโอเกมนั้นมีความน่าสนใจมากกว่าภาพยนตร์ได้ จากการพัฒนาระบบ Interactive Object ผสมกับ Quick Time Event (QTE) ที่เริ่มมีการใช้ Analog Stick เข้ามามีบทบาทในการเล่นนอกเหนือจากการกดปุ่มพื้นฐาน 4 ปุ่ม สุดท้ายคือการที่ไม่มีหลอดเลือดให้เห็นแล้ว แต่ให้ผู้เล่นสังเกตุจากสภาพและสถานะของตัวละครเอาเอง ซึ่งการพัฒนาจุดนี้ไม่ได้ทำให้การเล่นมีความลำบากเลยแม้แต่น้อย แต่กลับกลายเป็นให้ผู้เล่นมีประสบการณ์ร่วมพร้อมกับเรียนรู้และเข้าใจตัวละครไปในตัวอีกด้วย
หลังจากที่เห็นเค้าลางของ Detroit: Become Human เข้ามาบ้างแล้ว เราจะมาพูดต่อด้วยเกมที่ถูกพัฒนาเป็นลำดับต่อมาอย่าง Heavy Rain ที่มีการพัฒนาระบบที่ผู้เล่นจะได้มีโอกาสเล่นเป็นตัวละครหลายตัวในเกม พร้อมกับเริ่มใช้เทคโนโลยี Motion Capture เพื่อความสมจริงโดยนักแสดงกว่า 70 คน นอกเหนือจากนั้นแล้ว สิ่งที่ถูกนำเสนอออกมาผ่านเกมนี้ไม่ใช่เพียงแค่ประสบการณ์การเล่นเกมเพียงอย่างเดียว แต่รวมไปถึงประสบการณ์การเสพเนื้อเรื่องที่เหมือนกับภาพยนตร์ ที่ไม่มีคำว่า "Game Over" อีกด้วย เพราะถึงแม้เราจะทำตัวละครตายไป เนื้อเรื่องของเกมนี้ก็ยังสามารถดำเนินต่อไปได้ถึงตอนจบกว่า 20 แบบที่รอเราอยู่
ด้วยแนวคิดที่ไม่มี Game Over นั้นเองนำไปสู่การพัฒนาเกมลำดับต่อไป ที่เป็นเอกลักษณ์ของการใช้ Motion Capture อย่างเกม Beyond: Two Souls ที่นำแสดงโดยนักแสดงระดับ Hollywood อย่าง Ellen Page และ Willem Dafoe แต่กลับกันเกมนี้ยังไม่สามารถตอบโจทย์เหล่าผู้เล่นเกมได้มากเท่าไหร่นัก ในเรื่องของ Interactions ของตัวละครที่ไม่จำเป็นอยู่มากมายเต็มไปหมดจนรกตา แต่ว่าเพียงแค่นั้นก็ไม่สามารถต้านกระแสด้านบวกของเกมนี้ได้ ถึงแม้เกมเพลย์ยังไม่ตอบโจทย์คนเล่น แต่เนื้อเรื่องและวิธีการเล่าเรื่องเกมนี้ ทำให้มาตรฐานของการพัฒนาการเล่าเรื่องแบบ Interactive Storytelling สูงไปอีกขึ้นหนึ่ง
4 เกมผ่านไป แต่ละเกมต่างมีจุดที่น่าสนใจอยู่มากมาย จนมาถึงคราวของ Detroit: Become Human ซึ่งเป็นส่วนผสมที่ลงตัวของการพัฒนาและการลองผิดลองถูกมายาวนานกว่า 10 ปี ทั้งการเล่าเรื่องหลายมุมมองเนื้อเรื่องที่ลึกละเอียดอ่อน เทคโนโลยี Quick Time Event รวมถึงการทำ Interactive Storytelling ของค่าย Quantic Dream จนกลายเป็นเอกลักษณ์ไปเสียแล้วจึงไม่แปลกใจเลยที่ทุกคนจะให้ความสนใจกับเกมนี้ ความสำเร็จทั้งยอดขาย และยอดผู้เล่นสตรีมถือว่าเป็นยอดสูงที่สุดตลอดกาลของค่ายนี้เลยทีเดียว สำหรับผู้เล่นที่สนใจอยากสัมผัสประสบการณ์เหนือการเล่นเกมและภาพยนตร์อย่าง Detroit: Become Human สามารถเข้าไปหาซื้อและจับจองได้ในแพลตฟอร์ม PlayStation4 ได้เลยครับ
แล้วคุณล่ะ พร้อมที่จะมีเนื้อเรื่องเป็นของตัวเองหรือยัง?
ขอบคุณข้อมูลจาก : http://gamehubs.com/article.php?id=a-look-back-into-the-evolution-of-quantic-dream-before-detroit-become-human