เป็นระยะเวลากว่า 36 ปี แล้วที่ Street Fighter คือผู้กรุยทางให้นิยามเกมสไตล์ที่เรียกว่า Fighting หรือเกมต่อสู้ ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ซึ่งสร้างชื่อให้กับ Capcom เป็นหนึ่งในซีรี่ส์ที่ยืนยงและยืนหยัดความเป็นเกมต่อสู้ที่มีอิทธิพลต่อโลกใบนี้เป็นอย่างมาก และในปีนี้ คือการกลับมาอีกครั้งของซีรี่ส์นักสู้ข้างถนน ที่ครั้งนี้มาพร้อมกับการเล่าเรื่องและการต่อสู้ครั้งใหม่ ในบทที่ 6 ของ Street Fighter 6
ภาคที่ 6 ของซีรี่ส์ Street Fighter ที่ครั้งนี้มีการนำเสนอสิ่งใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมาจากภาคที่แล้วเป็นอย่างมาก โดยภาคนี้ กลับมาใช้คอนเซ็ปต์ของถึงความหมายที่แท้จริงของ Street Fighter คือการต่อสู้ข้างถนน ที่แท้จริง ด้วยการนำเสนอผ่านโหมดเกมทั้ง 3 โหมดด้วยกัน
World Tour สร้างสรรค์นักสู้ในแบบฉบับของตัวเอง เพื่อแสวงหาเป็นยอดนักสู้ระดับโลก
แม้ว่ามันจะไม่ใช้โหมดที่ใหม่อะไรมากมายนัก เพราะ World Tour ของ Street Fighter เคยถูกทำมาแล้วในภาค Alpha 3 (Zero 3) ซึ่งยังไม่ค่อยจะตอบโจทย์ความเป็น World Tour ที่แท้จริงเท่าไหร่ แต่พอมาในภาคที่ 6 นี้ โหมด World Tour ได้ตอบโจทย์ของมันได้อย่างชัดเจนมากๆ ทั้งเรื่องของการสร้างนักสู้อวาตาร์ซึ่งเป็นตัวแทนของเราเองได้แบบอิสระ การสำรวจและเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ ทั้งในเมือง Metro city ที่หยิบยกเมืองจากเกมในยูนิเวิร์สของตัวเองอย่าง Final Fight มาให้ในสเกลที่กว้างขึ้น หรือตามประเทศต่างๆ ของตัวละครนั้นๆ ทำให้รู้สึกว่า นี่แหละคือ World Tour ที่ควรจะเป็น โดยหลักๆ ของโหมดนี้คือการปั้นนักสู้อวาตาร์ของเรา ต่อสู้และทำภารกิจต่างๆ ของเกม ซึ่งจะเป็นการไปต่อยตีกับผู้คนในเมือง หรือแม้กระทั่งตัวละครต่างๆ เพื่อรับค่าประสบการณ์และท่าไม้ตายต่างๆ มาใช้ในการพัฒนานักสู้ของเรา อีกทั้งยังสามารถเอานักสู้ของเราไปเข้าสู่โหมดมัลติเพลย์เยอร์อย่าง Battle Hub ได้อีกด้วย ซึ่งจากที่ลองเล่นมาแล้วโหมด World Tour ถือว่าเป็นโหมดที่ค่อนข้างเล่นเพลินเอาเรื่องเลยทีเดียว
Battle Hub ชุมชนของเหล่านักสู้ ที่ประลองฝีมือในรูปแบบออนไลน์ทั่วโลก
สำหรับโหมดออนไลน์ของเกมนี้ จะมาในรูปแบบของโดมขนาดยักษ์ซึ่งจะประกอบไปด้วย ตู้เกมต่างๆ มากมาย ให้ผู้เล่นทั่วโลก ได้เข้าไปเล่นและประลองกัน โดยเปรียบเสมือนเป็นชุมชนนักสู้ที่มาจากทั่วทุกมุมโลก เพื่อมาแลกเปลี่ยนพูดคุย รวมไปถึงประลองกำลังกัน ซึ่งสามารถเลือกได้ทั้งแบบเล่นขำขำ Casual หรือ Raked Mode วัดไต่ระดับความสามารถของตัวเองได้อีกด้วย อีกทั้งยังสามารถหยิบเอานักสู้อวาตาร์ที่สร้างมานั้นไปสู้กันที่เวทีกลางในโหมด Avatar Battle ได้อีกด้วย เท่านั้นยังไม่พอ ใน Battle Hub ถ้าคุณรอต่อเล่นตู้เกมนานเกินไป ยังมีตู้เกมย้อนยุคจากเครือ Capcom หลากหลายเกมให้เล่น ไม่ว่าจะเป็น Street Fighter 2, Final Fight, Vulgus (เกมแนว Shooting สุดคลาสสิก), SonSon ให้ได้เล่นฆ่าเวลากันอีกด้วย
Fighting Ground โหมดต่อสู้ทั่วไปในรูปแบบออฟไลน์ และออนไลน์ ที่เกมต่อสู้ต้องมี
โหมดมาตรฐานที่เกมต่อสู้ทุกเกมต้องมีกับ Fighting Ground ซึ่งสามารถจะเล่นทั้งในแบบแมตช์กระชับมิตร หรือโหมด Arcade เล่นไปตามด่านต่างๆ เพื่อรู้เรื่องราวและเนื้อหาของตัวละครทั้ง 18 คนได้อีกด้วย รวมไปถึงยังมีโหมดแปลกๆ พิสดารให้ได้เล่นเอาสนุกกับเพื่อนฝูงและสามารถปรับแต่งโหมดเหล่านั้นได้ตามใจชอบ และนอกจากนี้ Fighting Ground ก็มีโหมด Practice โหมดฝึกฝนให้ผู้เล่นได้ลองท่าลองคอมโบต่างๆ ที่น่าสนใจเพื่อพัฒนาให้เก่งขึ้นได้อีกด้วย
เหล่านักสู้เลือดใหม่ พร้อมนักสู้รุ่นคลาสสิกมาให้เลือกเล่นทั้งหมด 18 ตัว
จุดเด่นสำคัญของ Street Fighter 6 คือตัวละครครับ ซึ่งภาคนี้ถือว่าเป็นภาคที่ส่งต่อนักสู้รุ่นเก่าและเปิดตัวนักสู้รุ่นใหม่ โดยมีทั้งหมด ณ ตอนนี้ 18 ตัวละคร โดยตัวละครเก่านั้นก็จะมีที่คุ้นเคยกันดีเช่น Ryu, Ken, Chun-Li, Guile เป็นต้น และยังมีนักสู้หน้าใหม่ที่เข้ามาภาคนี้เช่น Luke, Jamie,Manon, Marisa, Lily ซึ่งตัวละครทุกตัวต่างมีท่าไม้ตายเฉพาะและเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนกัน แน่นอนว่าการกดคอมมานด์ท่าไม้ตายของแต่ละตัวก็แตกต่างกันไปอีกด้วย ซึ่งถือว่าให้ประสบการณ์และความหลากหลายให้กับผู้เล่นเป็นอย่างดี และในอนาคตกำลังจะมีตัวละครใหม่เพิ่มมาอีก 4 ตัว ซึ่งประกาศแล้วนั่นคือ A.K.I, Rashid, Ed และ Akuma
ระบบใหม่ๆ ที่เล่นง่ายและเป็นมิตรกับผู้เล่นทุกประเภท
ลืมไปเลยกับระบบ V-System สุดซับซ้อนในภาคที่ 5 ภาคนี้เน้นไปที่ระบบ Drive ระบบที่จะช่วยเป็นทั้งเกจป้องกัน, เพิ่มความแรงของท่าไม้ตาย, การปัดป้อง และการชาร์จโจมตีขั้นรุนแรง ทำให้การเล่นนั้นค่อนข้างเข้าใจได้ง่ายไม่ซับซ้อน และอีกระบบนึงที่เหมาะมากๆ สำหรับผู้เล่นหน้าใหม่กับการควบคุมที่มีให้ทั้งหมด 3 แบบคือ Classic ระบบการควบคุมแบบดั้งเดิมคือ ต่อย 3 ระดับ เตะ 3 ระดับ (เบา,กลาง,หนัก) Modern ระบบการควบคุมแบบง่าย ใช้แค่ 3 อย่างคือ โจมตีเบา, โจมตีกลาง, โจมตีหนัก พร้อมปุ่มปล่อยท่าไม้ตาย และปุ่ม Assist ช่วยเหลือในการต่อคอมโบแค่กดปุ่มโจมตีย้ำๆ และอีกระบบการควบคุมหนึ่งคือ Dynamic ระบบการควบคุมที่จะสร้างท่าต่างๆ ให้โดยอัตโนมัติตามระยะของศัตรู เรียกว่าปรับใช้ได้ตามความเหมาะสมและความถนัด ถือว่า Capcom ทำการบ้านมาดี และภาคนี้เป็นมิตรกับผู้เล่นทุกประเภทด้วย และที่เจ๋งอีกอย่างคือ ระบบเสียงของเกมนี้ สามารถปรับให้มีเสียงของนักพากย์อีสปอร์ตระดับโลก มาใส่เพิ่มไปอีกด้วย ทำให้ได้ฟิลเหมือนกับแข่ง EVO ต่างประเทศเลยทีเดียว
ก้าวเข้าสู่ RE Engine กับงานภาพกราฟิกที่สวยงาม
เป็นอีกหนึ่งเกมที่ถูกปรับปรุงด้วยกราฟิกเฉพาะของ Capcom อย่าง RE Engine ซึ่งตัวเกมมีการดีไซน์และสร้างคาแรคเตอร์แบบ 3D ที่มีความสมจริงและไม่เว่อร์วังเหมือนกับภาคก่อนๆ มีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น อีกทั้งเจ้ากราฟิกนี้ สามารถใส่เอฟเฟ็กต์ลายหมึกอันเป็นเอกลักษณ์ได้อย่างยอดเยี่ยมและดูดีมากๆ และกราฟิกนี้ขึ้นชื่อในเรื่องของความเป็นมิตรกับเครื่อง PC สเปคไม่แรงมาก ทำให้แม้ปรับต่ำแค่ไหน ก็เล่นได้และลื่นไม่มีปัญหา ส่วนฝั่งของ PlayStation 5 กราฟิกจัดว่าปรับได้เต็มศักยภาพ ทั้งคุณภาพและเฟรมเรตที่นิ่งๆ ลื่นๆ จึงทำให้ประทับใจมากๆ ในส่วนนี้
ดูเหมือนเกมมันจะดีไปซะหมด แต่ก็มีจุดขัดใจอยู่บ้าง
จุดที่ขัดใจและสังเกตอย่างหนึ่งของเกมนี้ก็คือ โหมด World Tour ที่ช่วงแรกๆ มีเฟรมหน่วงๆ ทำให้เกมเพลย์ตอนสู้ดูช้าลงมากๆ รวมไปถึง การเล่นแบบ Avatar Battle ใน Battle Hub มักมีอาการหลุดค่อนข้างบ่อย และสำหรับใครที่ถนัดคีย์บอร์ด เม้าส์อาจจะเซ็งนิดๆ เพราะไม่มีระบบปรับแต่งปุ่มสำหรับคีย์บอร์ดเม้าส์ ทำให้คนเล่นอาจจะต้องหาจอยสติ๊กมาเล่นแทน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นปัญหาต่างๆ เหล่านี้ หวังว่าจะมีการแก้ไขจากทาง Capcom ในเร็ววัน
สรุป
เป็นการเปิดนิยามของ Street Fighter ที่ตรงโจทย์ และกลับมาในฐานะแฟรนไชส์เกมต่อสู้ระดับตำนานได้อย่างสมเกียรติ การส่งต่อของนักสู้รุ่นเก่าไปสู่นักสู้รุ่นใหม่ โหมด World Tour ที่ตอบโจทย์และอิสระ Battle Hub ที่เปรียบเสมือนชุมชนนักสู้ในโลกเมต้าเวิร์ส และโหมดเกมสุดคลาสสิกที่คุ้นเคย Street Fighter 6 จึงเป็นเกมต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมและดีที่สุดในช่วงเวลานี้ ถ้าคุณเป็นคอเกมไฟต์ติ้ง นี่คือหนึ่งเกมที่คุณต้องเล่นในปี 2023 นี้เลยล่ะครับ
ขอขอบคุณ Sicom Amusement ที่มอบตัวเกมมาให้ทีมงานทดสอบด้วยครับ
คะแนน : 9/10