"เกม = ความรุนแรง จริงหรือที่เหตุการก่อการร้ายต่างๆ เกิดขึ้นมาจากเกมแนว Shooting"
เป็นเวลานับ 10 ปีเห็นจะได้กับการถกเถียงกันถึงปัญหาผลกระทบด้านความรุนแรงที่มาจากสื่ออย่าง "เกม" และ "ภาพยนต์" ที่สามารถปลูกฝังไปยังผู้เสพสื่อ โดยเฉพาะพวกเด็กๆ และผู้มีปัญหาด้านสุขภาพจิต ซึ่งการถกเถียงเหล่านี้นำไปสู่การควบคุม และตรวจสอบเกมต่างๆ ผ่านทาง ESRB (Electronic Software Ratings Board) และอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน
โดยเฉพาะเกมอย่าง Call of Duty และ Grand Theft Auto ถือเป็นเกมที่ถูกกล่าวว่ามีองค์ประกอบส่วนใหญ่ซึ่งแสดงถึงความรุนแรงสูง (เนื้อหาที่มุ่งเน้นไปที่การก่ออาชญากรรม การตายอย่างแขนขาหลุดกระเด็น และอื่นๆ) ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ถูกมองว่ามันคือหนึ่งในต้นเหตุที่ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมต่างๆ ในระดับชาติ โดยเหล่าเกมเมอร์อย่างเราๆ ต่างก็รู้ดีว่ามันไม่ใช่ทั้งหมดซะทีเดียว และก็เรียกร้องในเรื่องนี้มาหลายปี จนล่าสุดก็ได้มีหลักฐานแล้วว่า คนที่ชอบเล่นเกมแนว Shooting ส่วนใหญ่ มักไม่ได้สนใจเกี่ยวกับความรุนแรงที่นำเสนอออกมาเลย
หลังจากเหตุการณ์กราดยิงโรงเรียนมัธยมปลายในฟลอริด้าเมื่อเดือนที่ผ่านมา พบผู้เสียชีวิตทั้งหมด 17 ราย และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทางภาครัฐ และประชาชนกำลังหาวิธีแก้ไขปัญหานี้กันอย่างจริงจัง โดยเมื่อวันที่ 8 มีนาคม ประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมพ์ได้พบกับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านวิดีโอเกม เช่น Strauss Zelnick ผู้เป็น CEO ของ Take-Two Interactive (บริษัทแม่ของ Rockstar Games ผู้พัฒนาเกม Grand Theft Auto ), Robert Altman ประธาน และ CEO ของ ZeniMax Media, และ Mike Gallagher ประธานและ CEO ของ Entertainment Software Association รวมไปถึง ผู้บริการระดับสูงๆ คนอื่นๆ อีกมากมาย
ในที่ประชุม เป็นการประชุมเพื่อหาวิธีการแก้ปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้น มีการพูดถึง First Amendment รวมไปถึงการจัดเรทความรุนแรง ที่ให้ผู้ปกครองเห็นและเข้าใจก่อนจะซื้อเกมเหล่านั้นให้บุตรหลานของตน ทั้งนี้นักจิตวิทยา Patrick Markey กล่าวเกี่ยวกับงานวิจัยของเขาว่า
"80% ของคนเล่นเกมแนว Shooting ไม่ได้สนใจความรุนแรงที่นำเสนอผ่านตัวเกม ซึ่งผมเชื่อว่าปฏิกิริยาที่เข้าใจได้โดยง่ายคือสิ่งที่ถูกต้อง ปัญหาก็คือ วิทยาศาสตร์ ข้อมูล ไม่ได้บอกว่ามันจะถูกต้องจริงๆ นอกจากนี้ผมยังเห็นว่าเมื่อมีเกมที่มีความรุนแรงสูงๆ วางตลาด อัตราการเกิดอาชญากรรมกลับลดลง"
แหล่งที่มา gamezone.com
