พึ่งจบกันไปสดๆ ร้อนๆ สำหรับงานเกมโชว์สุดยิ่งใหญ่แห่งปี E3 2019 ซึ่งก็มีหลากหลายค่ายต่างพากันงัดเกมใหม่ๆ ออกมาโชว์อย่างมากมาย และหนึ่งในนั้นก็คือ Final Fantasy VII Remake ของทางค่ายเหลี่ยม Square-Enix นั่นเองค่ะ ทว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้เกมเมอร์ทั่วโลกแอบเซ็งอยู่หน่อยๆ ตรงที่ตัวเกมจะแบ่งขายเป็น Part [ระยะเวลาการเล่นเทียบเท่า Final Fantasy 1 ภาค]
และดูเหมือนทีมพัฒนาก็ยังไม่สามารถให้คำตอบได้เหมือนกันจะจบลงกันที่กี่ Part ดี? แต่ที่แน่ๆ ตัวเกมพาร์คแรกจะจบลงในช่วงที่ตัวเอกของเราหนีออกจากเมืองมิดการ์ (Midgar) กันนะคะ โดยเรื่องนี้ได้รับการยืนยันมาจากคุณ Yoshinori Kitase โปรดิวเซอร์ (Producer) ของ Final Fantasy VII Remake เล่าผ่านทาง Twitter หลักของตัวเกม เมื่อวันที่ 14 มิถุนายนที่ผ่านมาว่า
“สวัสดีถึงเหล่าเกมเมอร์ทุกท่าน กระผม Yoshinori Kitase โปรดิวเซอร์ของ Final Fantasy VII Remake
นับตั้งแต่การเปิดตัวอย่างกะทันหันในรายการ State of Play เมื่อช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ยาวมาจนถึงช่วง E3 2019 ที่นอกจากประกาศวันวางจำหน่ายแล้วยังเปิดให้เล่นเกม Demo ภายในงานอีกด้วย ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะดีใจแฟนเกมของเราทุกคนจะมีความสุขกับเซอร์ไพรส์ที่ทางเราเตรียมเอาไว้มากมายหลังจากที่ปล่อยให้รอคอยกันมานาน
ในการทำตัวเกมฉบับ Remake นั้น สิ่งแรกที่เราตั้งใจอย่างมากเลยก็คือ การเนรมิตเมืองมิดการ์ (Midgar) ขึ้นมาใหม่ ไม่ว่าจะทั้งการออกแบบโครงสร้างตัวเมืองยกชุด เพิ่มรายละเอียดใหม่ๆ เข้าไปในตัวเกม และเพิ่มความมีชีวิตชีวาในเมืองด้วยการแต่งเสริมเรื่องราวให้แก่ตัวละคร NPC ตามจุดต่างๆ
สาเหตุที่เราทำแบบนี้เป็นเพราะเมืองมิดการ์ (Midgar) เปรียบเสมือน Signature ของ Final Fantasy VII เลยทีเดียวครับ ถึงกระนั้นการปรับเปลี่ยน / ปรุงแต่งเพิ่มเติมดังกล่าวมาผสานเข้ากับเนื้อเรื่องและระบบเกมเพลย์เข้าไปแล้ว ก็ปาขนาดความจุที่ต้องใช้ไปด้วยแผ่น Blu-ray จำนวนสองแผ่นเสียแล้ว สุดท้ายจึงต้องดำเนินเนื้อเรื่องให้มาสิ้นสุดช่วงตัวเอกของเราหลบหนีออกมาจากเมืองมิดการ์ (Midgar)
แต่พวกเราก็ไม่รู้สึกเสียใจอะไรกับมัน เพราะเราได้ปรับปรุงการดำเนินเนื้อเรื่องของตัวละครและตำแหน่งมอนสเตอร์บอสสำหรับเกมนี้เหมือนกับ Final Fantasy 1 ภาคที่จะได้รับประสบการณ์และจำนวนความยาวในการเล่นสูงพอสมควร ซึ่งพวกเราคิดว่ามันคุ้มค่าเพียงพอแก่ผู้เล่นสำหรับการเล่น Part แรก แม้ว่าตัวเกมจะถูกแบ่ง Part ออกเป็นหลายส่วน แต่ก่อนจะถึงตอนนั้น ขอให้ทุกคนสนุกกับ Final Fantasy VII Remake ที่กำลังจะวางจำหน่ายในวันที่ 3 มีนาคม 2020 ซึ่งนั่นถือเป็นแค่น้ำจิ้มเท่านั้น และผมหวังว่าทุกคนจะตั้งตารอ Part ต่อๆ ไปนะครับ”
นอกจากนี้คุณ Yoshinori Kitase ได้ออกมาแสดงถึงความมุ่งมั่นวิสัยทัศน์ และคุณภาพโดยรวมของ Final Fantasy VII Remake อีกด้วยว่า
“Final Fantasy VII Remake มันคือโปรเจกต์ที่ยิ่งใหญ่และจำเป็นต้องใช้ข้อมูลมหาศาลเพื่อเนรมิตจิตนาการถึงโลกใบนี้ใหม่อีกครั้ง ดังนั้นแล้วการทำสิ่งใหม่ๆ ทำมันให้ถึงที่สุดจนเกือบถึงขีดจำกัด และทำให้เหนือกว่าที่ผู้เล่นคาดหวังเอาไว้ ทั้งหมดนี้จะเป็นหนึ่งในแผนการของโปรเจกต์ดังกล่าว สำหรับมุมมองของทีมผู้พัฒนาแล้วพวกเรามองเกมนี้เป็นเกมภาคหลักตัวต่อไปของ Final Fantasy มากกว่าการ Remake ตัวเกมต้นฉบับ
หรือก็คือจะต้องก้าวข้ามเกมต้นฉบับให้ได้ มอบเนื้อเรื่องเรื่องที่ลุ่มลึก มอบประสบการณ์การเล่นเกมที่ทันสมัย และเต็มไปด้วยความเซอร์ไพรส์ที่คาดไม่ถึง ต่อมาในส่วนของทีมผู้พัฒนาของเราได้รวบรวมทั้งกลุ่มชุดเดิมที่เคยทำเกมต้นฉบับ และคนหนุ่มที่มีความสามารถมากมายจากทุกมุมโลกมาร่วมงานกัน บางทีพวกเขาก็เป็นแฟนเกมซีรีส์นี้มาตั้งแต่ยังเด็กอยู่ด้วย มันเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นและน่ายินดีเป็นอย่างมากในการที่ได้มาร่วมงานที่ทีมที่เต็มไปด้วยพรสวรรค์ในโปรเจกต์ที่สุดแสนจะท้าทายนี้
มีหลายสิ่งในเกมนี้ได้เปลี่ยนไปจากเกมต้นฉบับ ในสมัยนั้นเราไม่มีทั้งคนพากย์เสียง ไม่มีทั้งนักแสดง ไม่มีทั้ง Motion Capture แม้แต่น้อย ในคราวนี้ตัวเกมฉบับ Remake เราจึงนำเทคนิคที่กล่าวไปก่อนหน้านี้เหล่านี้มาใช้ ไม่เพียงแค่นั้นยังมีอีกหลายเทคนิคที่เรามาใช้เพิ่มเติมเพื่อทำให้ตัวละครสามารถแสดงอารมณ์ความรู้สึกได้มากยิ่งขึ้นกว่าที่เคยมีมา สิ่งนี้จะเพิ่มความสนุกและให้ประสบการณ์สุดพิเศษแก่แฟนเกมทั้งในอดีตและแฟนเกมรุ่นใหม่ที่ไม่เคยเล่นเกมนี้มาก่อน
ในส่วนของการเล่นเกมเรามีจุดมุ่งหมายที่จะสร้างแนวการเล่นแบบใหม่บนพื้นฐานการเล่นแบบเดิม โดยได้มีการพัฒนาระบบ ATB ให้ดีมากยิ่งขึ้น ระบบ ATB มันเป็นการผสมการเล่นเกมแบบ Real-Time กับ Command ให้เข้ากับการต่อสู้สไตล์ Action ตามยุคสมัย และสามารถเปลี่ยนตัวละครไปมาในระบบปาร์ตี้ได้ด้วยการกดปุ่มเพียงปุ่มเดีวย โดยตัวละครอื่นๆ ที่เราไม่ได้บังคับระบบ A.I. จะทำงานให้เอง ซึ่งเราใช้ท่าโจมตีของตัวละครอื่นๆ ในแบบฉบับของเราได้อีกด้วย
ท้ายที่สุด แน่นอนว่าเรายังมี Materia อยู่ คุณสามารถเอามันมาใช้เพื่อเปลี่ยนสไตล์การเล่นและใช้ปรับความสามารถต่างๆ ได้ เราจะเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมอีกมากเมื่อไกล้ถึงวันวางจำหน่ายเกมนี้ สำหรับตอนนี้ผมหวังว่าพวกคุณจะตื่นเต้นในสิ่งที่เรานำมาแสดงในงาน E3 2019 และเราจะหาโอกาสแบ่งปันข่าวใหม่ๆ ของเกมนี้ในโอกาสต่อไป”
ตัดกลับไปอีกด้านหนึ่งเกมเมอร์ทั่วโลกต่างก็กังวลประมาณว่า ‘แล้วแบบนี้เกิด Part ต่อไปวางขายบน PlayStation 5 ขึ้นมาแล้วคนที่ซื้อ PlayStation 4 ไม่ลำบากแย่เหรอ?’ ซึ่งดูเหมือนเรื่องนี้ไปถึงหูของคุณ Yosuke Matsuda บอสใหญ่ค่ายเหลี่ยม จึงให้สัมภาษณ์กับสื่อสำนักข่าว Game Informer ถึงประเด็นนี้ว่า
“ผมเชื่อว่าทีมผู้พัฒนาของเราได้สร้างเกมนี้ขึ้นมาเพื่อรองรับทั้งเครื่องเกมคอนโซลรุ่นปัจจุบัน / รุ่นถัดไป ดังนั้นผมจึงคิดว่าทุกคนไม่ควรต้องเป็นห่วงในเรื่องนี้ และเชื่อว่าแฟนเกมทุกคนจะสามารถสนุกกับตัวเกมได้ทั้งเครื่องเกมคอนโซลรุ่นปัจจุบัน / รุ่นถัดไป”
ในขณะเดียวกันสื่อสำนักข่าวมากมายก็ได้ไปทดสอบ Demo ของ Final Fantasy VII Remake มาแล้ว โดยมีเนื้อหาใจความดังต่อไปนี้
● “พวกเราได้เล่น Final Fantasy VII Remake ในงาน E3 2019 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขอบอกเลยว่าถือเป็นประสบการณ์แบบใหม่ที่ไม่เคยได้สัมผัสกันมาก่อนในตัวเกมต้นฉบับ ซึ่งขอบอกเลยว่ามันเต็มไปด้วยความตื่นตาตื่นใจตลอดการเล่นเลยทีเดียว” จาก Gamespot
● “Square-Enix ยกระดับมาตรฐาน Remake ของวงการเกมได้อย่างน่าเหลือเชื่อและรู้สึกดีใจที่พวกเขาทำได้สำเร็จ แม้มันอาจไม่ใช่เกมที่สมบูรณ์แบบมากนัก แต่ทุกคนสามารถรู้สึกถึงความตื่นเต้นยามเมื่อได้สัมผัสตัวเกมแทบทุกอณูเลยล่ะ” จาก Eurogamer
● “ใครหลายคนที่กำลังตื่นเต้นกับ Final Fantasy VII Remake ขอบอกเลยว่าผมรู้สึกแบบเดียวกับตอนเล่น Resident Evil 2 Remake ที่แม้จะเต็มไปด้วยระบบเกมเพลย์และคุณภาพกราฟิกสมัยใหม่ แต่ก็ยังแฝงไปด้วยความคลาสสิคอย่างน่าอัศจรรย์ ดังนั้นถ้าให้คนถามว่าตัวเกมคุ้มค่าสมการรอคอยไหม ผมก็จะตอบไปว่าคุ้มค่าอย่างแน่นอน” จาก IGN