สวัสดีครับเพื่อนๆที่เล่น Final Fantasy XIV:A Realm Reborn ทุกท่านวันนี้กลับมาพบกับเฮียพีทอีกครั้งช่วงนี้เห็นผู้เล่นหน้าใหม่เพิ่มเยอะขึ้นมากหลายท่านโพสคำถามเกี่ยวกับวิธีการเล่น,การสมัครเกมในแฟนเพจเฟสบุ้คกันมากมายวันนี้เลยอยากจะขอเล่าประวัติความเป็นมาก่อนที่จะมาเป็น Final FantasyXIV: A Realm Reborn กันสักหน่อย
Final Fantasy XIV: A RealmReborn ที่พวกเราเล่นกันนั้นเป็น เวอร์ชั่น2.0 ของเกมนะครับเดิมทีเกมนี้ไม่ได้ใช้ชื่อแบบที่เราเห็นกันแต่ใช้ชื่อว่า Final Fantasy XIV Onlineหรือที่รู้จักกันในชื่อว่า Final FantasyXIV 1.0จะสังเกตได้ครับว่าแพทช์อัพเดทปัจจุบันที่เราเล่นกันจะเป็นแพทช์อัพเดท2.xx ( 2.2, 2.25, 2.3, 2.38 )เรามาดูกันครับว่าเกมนี้เริ่มต้นได้อย่างไร
Final Fantasy XIV Online เป็นเกมไฟนอลแฟนตาซี ภาคที่14ของซีรี่ และเป็นภาคที่2 ที่ทาง Square Enixจับมาทำเป็นเกม MMORPG (ภาคแรกที่ถูกทำเป็นเกมออนไลน์คือ ภาค11 ครับ ) โดยเปิดให้บริการ4ภาษาด้วยกันคือ ญี่ปุ่น, เยอรมัน, อังกฤษ และ ฝรั่งเศส ชื่อ FinalFantasy XIV Onlineถูกประกาศสู่สาธารณะชนอย่างเป็นทางการครั้งแรกวันที่ 2 มิถุนายน 2009( เดิมที่ทาง Square Enix บอกว่าจะทำเกม MMORPG ใหม่ตั้งแต่ปี 2005แต่ไม่ได้บอกว่าจะใช้ชื่อเกมอะไร ) ในงาน E3 ที่ประกาศเปิดตัว FinalFantasy XIV Online นั้นมีการแสดงวีดีโอการเรนเดอร์ CGIกับภาพภายในเกมเบื้องต้นด้วยครับ ในช่วงเวลานั้น Final Fantasy XIVOnline มี Producer ควบคุมการผลิตคือคุณHiromichi Tanakaครับก่อนที่จะถูกถอดออก���ากตำแหน่งในปี 2010และผู้ที่รับหน้าที่แทนก็คือคุณนาโอกิโยชิดะ หรือ Yoshi-P ( เทพY )ของเรานั่นเอง
Final Fantasy XIV Onlineเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในวันที่ 22 กันยายน 2010 (Windows PC ) และช่วงเดือน มีนาคม 2011 สำหรับPlaystation 3สำหรับกระแสตอบรับของตัวเกมนั้นได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในช่วงเดือนแรกๆก่อนที่จะมีกระแสเชิงลบมากขึ้นจนต้องหยุดการให้บริการในวันที่11 พฤศจิกายน 2012 อาจเนื่องด้วยระบบเกมเพลย์ที่น่าเบื่อ และการใช้ทรัพยากรของฮาร์ดแวร์ค่อนข้างสูงทางทีมงานเลยได้ทำการยกเครื่องตัวเกมใหม่แทบจะทุกอณูและเปิดให้บริการอีกครั้งในชื่อ FinalFantasy XIV: A Realm Reborn หรือ FF XIV: ARR2.0
เนื้อเรื่อง
โดยเรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นบนโลกที่ชื่อว่าHydaelynผู้เล่นจะได้รับบทบาทเป็นนักพจญภัยท่องไปในอาณาจักรที่มีชื่อEorzea ( เอ-ออร์-เซีย )ในฐานะ Adventurer หรือ Warrior of Light ครับ
Eorzeaนั้นเดิมทีเป็นดินแดนอันป่าเถื่อนโหดร้ายชนเผ่าน้อยใหญ่ที่อาศัยอยู่ตามสถานที่ต่างๆต้องดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดจากความโหดร้ายนี้จนวันหนึ่งเหล่าทวยเทพทั้ง12จึงเกิดความเห็นใจประทานพรวิเศษให้พวกเขาเหล่านั้นและยังคงเฝ้ามองดูความเป็นไปของชีวิตที่ดำเนินอยู่บนพื้นแผ่นดินEorzea แห่งนี้ วันเวลาล่วงเลยผ่านไปยุคสมัยเริ่มเปลี่ยนแปลงด้วยพรวิเศษที่ทวยเทพประทานให้เหล่าผู้อาศัยอยู่ในดินแดนแห่งนี้เริ่มพัฒนาวิถีชีวิตไปอย่างรวดเร็วจากชนเผ่าเรร่อนเปลี่ยนเป็นหมู่บ้าน จากหมู่บ้านเปลี่ยนเป็นเมืองใหญ่จากเมืองใหญ่เปลี่ยนเป็นอาณาจักรที่แข็งแกร่งเมื่อเริ่มมีอำนาจก็ใฝ่หาอำนาจที่มากขึ้น เหล่าอาณาจักรน้อยใหญ่ในEorzea เริ่มแสวงหาสิ่งที่มาเติมเต็มประวัติศาสตร์ของตนการแก่งแย่งพื้นที่เพื่อขยายอาณาจักรก่อให้เกิดสงครามไปทั่วทุกสารทิศ
เมื่อความตึงเครียดของสงครามภายในก่อตัวจนถึงจุดสูงสุดก็ปรากฎผู้รุกรานรายใหม่จากดินแดนทางตะวันออกอาณาจักรแห่งเกราะเหล็กและจักรกลด้วยแสงยานุภาพของเรือบินและดินปืนทำให้เกือบทุกแผ่นดินบน Eorzeaถูกปกคลุมไปด้วยควันดำและคราบเลือดจนประเทศน้อยใหญ่เริ่มมองเห็นอันตรายจากศัตรูผู้รุกรานครั้งนี้ผู้นำประเทศทั้งหลายได้พยายามรวมพลังของประชากรใน Eorzeaเพื่อปกป้องผืนแผ่นดินบ้านเกิดของตนเองแต่ก็มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่เห็นชอบด้วยจนกระทั่งหนึ่งในประเทศที่มีแสนยานุภาพสูงสุดของ Eorzea อย่าง“Ala Mhigo”ถูกบดขยี้ด้วยขุมพลังที่เหนือกว่าราวเด็กน้อยเอานิ้วขยี้มดตัวน้อยบนพื้นนามของผู้รุกรานที่ทำให้ทั้งทวีปเกิดความสะพรึ่งกลัว Garlean Empire
ดั่งคลื่นที่ถาโถมเข้าชายฝั่งและทิ้งเศษซากของปราสาททรายเอาไว้Ala Mhigo ถูกบดขยี้เหลือทิ้งไว้เพียงซากปรักหักพังแห่งดินแดนทางเหนือหลังจากสังเวยชีวิตนับแสนของ Ala Mhigo ชาว Eorazeaเริ่มตระหนักถึงภยันตรายที่กำลังคืบคลานเข้ามาหาตนอย่างช้าๆทุกประเทศที่เหลือเริ่มมีการเจรจาสงบศึกระหว่างกันและจัดตั้งกองกำลังพันธมิตรเพื่อรับมือผู้รุกรานหากพวกมันขยายอำนาจสู่ทางใต้ของทวีปแต่ไม่ทราบด้วยเหตุอันใด Garlean Empireมิได้เคยย่างกรายเข้ามาสู่ดินแดนทางใต้เลยสักครั้งหลังจากที่ทำลายดินแดนทางเหนือจนย่อยยับก็ได้ถอนกำลังกลับไป
หลังจากที่จักวรรดิ์ Garleanยกทัพกลับไปก็ทำให้เหล่าประชากรแห่ง Eorzeaตระหนักถึงความสงบสุขที่ควรจะเกิดขึ้นทำให้ยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ จนเข้าสู่ช่วงเวลาที่เรียกว่า“Age of Calm”ถึงแม้ช่วงเวลานี้จะมีปัญหาภายในประเทศต่างๆแต่ก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรนักอย่างน้อยก็สามารถเรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาแห่งสันติสุขปัญหาภายในประเทศที่กล่าวคือการรวมตัวของเหล่าทหารรับจ้างที่ว่างงานเนื่องเพราะเมื่อไม่มีสงครามก็ไม่มีการจ้างกำลังรบอีกทั้งประเทศต่างๆเริ่มตั้งกองทัพเป็นของตัวเองเพื่อสะดวกแก่การเรียกระดมพลจนเหล่าทหารรับจ้างผู้ว่างงานเริ่มรวมตัวกันปล้นสดมตั้งตัวเป็นกองโจรปล้นฆ่าแย่งชิงเพื่อความอยู่รอดผู้นำประเทศได้รวมตัวกันแก้ปัญหานี้ก่อนที่มันจะลุกลามจนควบคุมไม่ได้จึงได้จัดตั้งหน่วยงานขึ้นมาในนาม “Adventurer’sGuild”เพื่อที่จะจัดหางานให้แก่ทหารรับจ้างที่ต้องการทำงานหาเลี้ยงชีพซึ่งหน่วยงานนี้จะขึ้นตรงกับ Grand Companyของแต่ละประเทศ ได้แก่ “TheMalstorm” แห่ง Limsa Lominsa, “The Order of the Twin Adder”แห่ง Gridania และ “The ImmortalFlames” แห่ง Ul’dah
นอกจาก “Adventurer’s Guild”แล้วยังมีอีกหนึ่งองกรณ์ลับที่คอยทำงานร่วมกับเหล่าผู้นำทั้ง3ประเทศองกรณ์นั้นคือThe Path of the Twelveเป็นองกรณ์ลับที่เกิดจากการรวมตัวของผู้มีพลังวิเศษสามารถได้ยินเสียงของเหล่าทวยทั้ง12ได้ พลังนั้นเรียกว่า “Echo”จุดมุ่งหมายหลักคือการค้นหาพลังของเทพทั้ง12องค์และทำพลังนั้นมาใช้เพื่อสร้างสันติสุขที่แท้จริงให้Eorazea
Minfilia ผู้นำของ The path of the Twelve
เวลาล่วงเลยผ่านไปวันแล้ววันเล่าจนกระทั่งวันแห่งความสะพรึงกลัวของชาวEorzeaกลับมาอีกครั้งแต่คราวนี้หาใช่การบุกรุกของจักวรรดิ์แห่งเครื่องจักรแต่เป็นจากวิญญาณด้านมืดและจิตอันชั่วร้ายที่อาศัยอยู่ในโลกแห่งนี้วิญญาณและจิตเหล่านั้นรวมตัวกันเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีพลังอำนาจมหาศาลอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในตำนานครั้งโบราณกาลPrimal ( ไพรมอล )เดิมทีนั้นเหล่า Primalจะอาศัยอยู่ในมิติที่เป็นเอกเทศไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลก Hydaelynแต่มีบางชนเผ่าที่สามารถอัญเชิญสัตว์อสูร Primalมายังโลกเพื่อสร้างความวุ่นวาย และทำลายล้างทุกอย่างที่ขวางหน้าเราเรียกชนเผ่านี้ว่า Beast Tribe ( อสูรกึ่งมนุษย์) เหตุการณ์เริ่มต้นขึ้นเมื่อ Beast Tribe ได้อัญเชิญอสูรเพลิงโลกันต์ Ifritมายังโลก สร้างความเดือดร้อนจนต้องให้ผู้ที่มีพลัง Echo ( ผู้เล่น )เข้าเจรจาต่อรองกับเหล่า Beast Tribe เพื่อขอยืมพลังของพวก Primalเพื่อป้องกันภัยที่จะเกิดขึ้นในอนาคตแต่ก็ไม่เป็นผลจึงเกิดการต่อสู้ขึ้นจนพลัง Echo ในตัวแสดงผลออกมาทำให้ Ifritยอมที่จะไว้ชีวิตผู้มีพลัง Echo และไม่ทำลายชีวิตใดๆอีกแต่มีข้อแม้ว่าห้ามคนของโลก Hydaelyn เข้ามายุ่งวุ่นวายกับ Primalทุกตัวอีก
อสูรเพลิง Ifrit ( อีฟริท )
ถึงแม้กำลังทหารแห่ง GarleanEmpire จะเก็บตัวเงียบอยู่ในอาณาจักรของตนแต่ก็หูตากว้างไกลมีสายลับกระจายอยู่ทั่วทวีปเพื่อรายงานเหตุการณ์ต่างๆแน่นอนว่าการมาเยือนของอสูรเพลิงก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาของทางจักรวรรดิ์ไปได้เมื่อเห็นว่าทางฝ่ายศัตรูสามารถใช้พลังอันแสนวิเศษนี้ได้ทางกองทัพแห่งจักรวรรดิ์ก���มิอาจอยู่เฉยส่งหน่วยรบมาเพื่อไล่ฆ่าพวกBeast Tribeไม่ให้เหลือรอดเพื่อเป็นการตัดไฟแต่ต้นลมก่อนที่พวกอสูรกึ่งมนุษย์จะหันคมหอกใส่ตนหาใช่ Garlean Empire ฝ่ายเดียวที่จะมีสายลับแฝงตัวอยู่ใน Eorzeaทางกองทัพพันธมิตรเองก็มีสายลับแฝงตัวอยู่ในจักวรรดิ์เช่นกันการมาของกองเรือบินก็มีอาจพ้นสายตาของกองทัพพันธมิตรไปได้ GrandCompanyทั้งสามจึงได้ส่งหน่วยทหารเข้าไปเพื่อยับยั้งเหตุการณ์ครั้งนี้แต่ก็ไม่สามารถต่อกรกับทัพของจักวรรดิ์ได้เพราะหน่วยรบที่ทางจักวรรดิ์ส่งมานั้นคือ“หน่วยที่14” นำทัพโดย The Black Wolf: Gaius Van Baelsarแม่ทัพผู้ทำลาย Ala mhigo ให้เหลือเพียงเศษซากนั่นเองการปะทะกันของทั้งสองฝ่ายทำให้ต่างฝ่ายต่างก็ต้องถอยกลับไปยังดินแดนของตนและทำให้กองทัพพันธมิตรรู้ว่ากำลังทหารของตนนั้นไม่สามารถสู้กับGarlean Empire ได้เลยนอกจากนั้นเหตุการณ์ครั้งนี้ยังทำให้รู้อีกว่ายังมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่มีพลังในการสื่อสารกับทวยเทพได้คนเหล่านั้นเรียกตัวเองว่า The Ciecle ofKnowing โดยการนำของ LouisoixLeveilleur
หลังจากเหตุการณ์ที่หน่วยรบของฝ่ายพันธมิตรแห่ง Eorzeaปะทะกับหน่วยรบของ Gaius Van Baelsarทางฝ่ายพันธมิตรก็ได้รับความช่วยเหลือข่าวสารและแผนการลับของ GarleanEmpire ผ่านทาง CidGarlondเจ้าของบริษัทผู้ผลิตเครื่องจักรที่คอยผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ให้กับทางGarlean Empire แต่เนื่องด้วยความไม่พอใจที่ทางจักรวรรดิ์ทำสิ่งประดิษฐ์ของตนไปใช้สร้างความเดือดร้อนกับคนอื่นแต่สิ่งที่สร้างความกังวลให้กันทั้งสาม Grand Companyไม่ใช่เครื่องมือหรืออาวุธชนิดใหม่แต่เป็นแผนการที่จะเปลี่ยนวิถีวงโคจรของดวงจัทนร์ดวงที่สองเข้ามาใกล้โลกและปลดผนึกสัตว์อสูรที่ร้ายการที่สุดในประวัติศาสตร์ของHydaelyn ออกมาทำลายล้างผู้ที่ต่อกรกับจักรวรรดิ์
*ในโลก Final Fantasy XIV 1.0 มีดวงจันทร์2ดวงคือดวงใหญ่ที่เราเห็น กับอีกดวงนึงเล็กๆซึ่งในเกมจะเห็นเป็นเพียงจุดสีขาวสว่างๆโดยดวงจันทร์ดวงที่สองนั้นชื่อว่า Dalamud แต่มันไม่ใช่ดวงจันทร์มันคือผนึกขนาดยักษ์ที่ผนึกสัตว์อสูร ( Primal ) ราชันย์มังกรบาฮามุทไว้นะครับคุณผู้อ่านคร้าบบบบบบบ
จากข้อมูลที่ Cidให้มาทำให้สามผู้นำประเทศร่วมมือกันอีกครั้งตั้งกองกำลังเฉพาะกิจขึ้นเพื่อหยุดยั้งแผนการนี้และทำลายเครื่องLunar Transmitterที่กำลังถูกติดตั้งอยู่บริเวณชายแดนของ Grinadiaในภารกิจนี้หน่วยรบของฝ่ายพันธมิตรของเผชิญกับทหารที่เก่งกาจที่สุดของ Garlean Empire ผู้นำหน่วยรบที่7ที่แข็งแกร่งและโหดเหี้ยมที่สุด The WhiteRaven: Nael Van Darnus
เครื่องเปลี่ยนวิถีวงโคจรดวงจันทร์ LunarTransmitter
แม่ทัพอีกาขาว The White Raven: Nael VanDarnus
หลังจากปะทะกับ Naelไม่นานตัวเขาก็ถูกพลังของดวงจันทร์ Dalamudเข้าครอบงำจิตใจและได้ทำลายเครื่อง Lunar Transmitterลงกับมือและเดินจากไปแต่เหตการณ์ไม่ได้จบลงตรงนั้นกองกำลังของทั้งสองฝ่ายยังคงสู้รบกันอย่างต่อเนื่องส่วนทางด้าน Nael ก็ได้ทำพิธีปลดผนึก Dalamudอยู่บนแท่นพิธีลอยฟ้าเป็นหน้าที่ของ Warrior of Lightต้องไปขัดขวางถึงแม้จะจัดการ Nael Van Darnusได้สำเร็จแต่ก็ไม่สามารถหยุดผนึก Dalamud ที่คลายออกได้ ดวงจันทร์Dalamud ระเบิดออกเผยให้เห็นสัตว์อสูรไพรม���ลมังกรนามว่าBahamutตัวขนาดมหึมาร้องคำราม ปล่อยเปลวเพลิงสร้างความเสียหายไปทั่วแผนดินทางด้าน The Circle of Knowingก็ได้เตรียมการรับมือวิกฤตการณ์ครั้งนี้โดยกระจายสมาชิกในกลุ่มออกไปยังแท่นบูชาของเทพทั้ง12องค์พร้อมทั้งสวดภาวนาขอพลังเทพทั้ง12เพื่อผนึกอสูรร้ายแต่ผลที่ได้คือพลังของมังกรอสูรนั้นแข็งแกร่งเกินกว่าผนึกจะสะกดมันไว้มันตรงเข้าทำร้ายเหล่ากองทัพพันธมิตรและนักรบแห่งแสง Louisoixผู้นำของ The Circle of Knowingจึงได้ตัดสินใจร่ายเวทย์มนต์โบราณส่งเหล่านักรบแห่งแสงข้ามมิติเวลามายังยุคปัจจุบัน( 5ปีต่อมา ) หรือก็คือในเนื้อเรื่อง 2.0นั่นเองครับ End of an Era จบเนื้อเรื่อง 1.0เข้าสู่ช่วง 2.0เหตุการณ์นี้เกิดจริงในตัวเกมอีกด้วย
ลาก่อนคุณปู่Louisoix
system andgameplay
ทางด้านระบบการเล่นของเกมของเวอร์ชั่น1.0 จะคล้ายคลึงกับเวอร์ชั่น2.0ที่เราเล่นกันโดยจะมีจุดแตกต่างอยู่บางจุดครับ เช่น ระบบการต่อสู้
คลิ้บเปรียบเทียบการต่อสู้ใน FinalFantasy XIV Online เวอร์ชั่น 1.0 กับ 2.0
คลิ้บตัวอย่างการต่อสู้กับ Ifrit1.0
คลิ้บตัวอย่างการต่อสู้กับ Ifrit2.0
จะเห็นได้ว่าใน เวอร์ชั่น1.0ไม่ว่าจะเป็นการใช้สกิล การแสดงอนิเมชั่นสกิลโมชั่นท่าทางของตัวละครมันช้าจนชวนหลับคาจอกันเลยทีเดียวแต่ในเวอร์ชั่น2.0 ที่ยกเครื่องใหม่นั้นใส่ความเป็น actionเข้าไปเลยทำให้เกมเพลย์มันไม่น่าเบื่อครับ เน้นคอนเซ็ปท์ที่ว่า“จบเร็ว แบบมีจังหวะ” ไม่ใช่เดินทื่อๆเข้าไปฟันโช๊ะๆๆๆๆแล้วก็ยืนรับการโจมตี ยืนฮีลกันไป มันน่าเบื่อ!!อีกทั้งตัวเกมก็มีการลดความหนาแน่นของโพลิก้อนลงทำให้กินสเปคเครื่องPC น้อยลงครับ แต่ไม่ได้ทำให้ความสวยงามของเกมลดลงเลยครับ
1 ใน 12 แท่นบูชาเทพทั้ง12องค์ ( 1.0 )
1 ใน 12 แท่นบูชาเทพทั้ง12องค์ ( 2.0 )
จากภาพเปรียบเทียบจะเห็นไว้ว่าในเวอร์ชั่น2.0 ที่มีการปรับลดปริมาณโพลีก้อนกับ shader ในการสร้างวัตถุทำให้การสร้างวัตถุในเกมนั้นรู้สึก “เบา” และ “โปร่ง” กว่าภาพจากเวอร์ชั่น1.0 แต่คุณภาพของ textureที่ใช้แสดงพื้นผิวไม่ได้ลดลงจนน่าเกลียดครับ
ในเวอร์ชั่น1.0 กระถางต้นไม้ 1ใบให้ความหนาแน่นของโพลิก้อนเท่ากับการสร้างตัวละคร 1ตัวแม่เจ้า!!
สิ่งที่เปลี่ยนไปอีกอย่างคือยูสเซอร์ อินเตอร์เฟส ( User Interface - UI) ครับเปลี่ยนหมดเลยทั้งระบบเลยทำให้เข้าใจง่ายขึ้นใช้งานได้ง่ายขึ้น
User Interface 1.0
User Interface 2.0
แม้แต่ระบบการคาร์ฟก็เปลี่ยนไปครับใน 2.0มีการใช้สกิลคอมโบที่หลากหลายมากขึ้นเพื่อใช้คาร์ฟไอเท็มต่างๆและตัวหน้าต่างรายชื่อไอเท็มเองก็มีการปรับปรุงให้ใช้งานได้สะดวกขึ้น
นั่งคาร์ฟกันทื่อๆเลย
หลังจากเปลี่ยนเป็น 2.0ก็มีการเปลี่ยนอินเตอร์เฟสให้มีสีสันและมีการดึงสกิลข้ามอาชีพมาใช้ในการสร้างไอเท็มได้ครับ
นอกจากสิ่งที่เปลี่ยนแปลงในข้างต้นแล้ว สิ่งที่ทำให้เวอร์ชั่น2.0ได้รับความนิยมมากกว่าเวอร์ชั่นแรกนั้นเป็นเพราะมีการปรับตัวเกมให้ง่ายขึ้น( ใน 1.0 วิ่งเข้าตีมอนหน้าเมืองทีละ 2โดนมอนสวนกลับมา2ทีกลับจุดเซฟ!! ) และมีระบบHelpที่คอยแสดงหน้าต่างอธิบายเกี่ยวกับการใช้งานฟังก์ชั่นต่างๆในเกมซึ่งถือเป็นเครื่องมือที่ช่วยผู้เล่นใหม่ได้เยอะเลยทีเดียว
อีกหนึ่งระบบที่เข้ามาช่วยผู้เล่นก็คือ ระบบDutyFinderเป็นระบบการหาสมาชิกเข้าร่วมปาร์ตี้เพื่อลงดันเจี้ยนต่างๆมันคงจะเป็นการยากที่จะเล่นเกม MMORPG แบบลุยเดี่ยวหรือ Soloแต่ก็ต้องยอมรับครับว่ามีผู้เล่นจำนวนไม่น้อยที่ชอบเล่นเดี่ยวมากกว่าการหาเพื่อนในเกมอาจจะเพราะต่างความคิด ต่างภาษาดังนั้นเมื่ออยากเล่นเดี่ยวแต่พอถึงเวลาคอนเท้นท์ไหนบังคับให้เดินเนื้อเรื่องในสถานที่ๆต้องไปเป็นกลุ่มหรือเป็นปาร์ตี้จะทำอย่างไรแน่นอนกว่าจะถึงตรงนั้นการมองหาผู้เล่นอื่นสัก 2-3คนมาร่วมกลุ่มคงเป็นเรื่องยากพอดู ดังนั้นระบบ Duty Finderนี้จึงเข้ามาเป็นเครื่องมือในการช่วยเหลือผู้เล่นครับโดยไม่ต้องออกไปตะโกนตามแผนที่หาคนลงดันเจี้ยนกับเรา แค่เรากด Join ในDuty Finderไประบบก็จะทำการสุ่มผู้เล่นที่ต้องการลงดันเจี้ยนเดียวกับเรามาให้ครับ
แน่นอนว่าไม่ใช่ทั้งหมดที่ถูกปรับเปลี่ยน ในเวอร์ชั่น2.0ก็ยังคงมีบางอย่างที่ยกมาจากเวอร์ชั่น1.0ครับอย่างระบบอาชีพและเผ่าพันธุ์ หรือมอนสเตอร์รวมไปถึงบอสบางตัวผู้เล่นก็จะต้องสู้กับบอสอย่าง อีฟริท, การูด้า อีกรอบในเวอร์ชั่น2.0ครับ
คลิ้บตัวอย่างอาชีพในเวอร์ชั่น2.0
สำหรับแฟนพันธุ์แท้ที่เล่นมาตั้งแต่ 1.0 จนเข้า 2.0ก็มีสิ่งบ่งชี้ความแตกต่างระหว่างผู้เล่นเก่ากับผู้เล่นใหม่โดยผู้เล่นเก่าเหล่านี้จะถูกเรียกว่า Legacy Player เล่นโดยใช้ IDเดิมตั้งแต่เวอร์ชั่นแรกและในการสร้างตัวละครเมื่อสร้างเสร็จแล้วLegacy Player จะมีรอยสัก หรือ Legacy Tattooอยู่บนด้านหลังบริเวณต้นคอครับ
หลังเนียนเนอะ!! เอ๊ย รอยสักเท่เนอะ!!!!!!
เฮียขอสรุปสั้นๆง่ายๆเลยนะครับสำหรับ Final FantasyXIV: A Realm Reborn “เล่นซะ” รับรองว่าสนุก!!
เพื่อนๆสามารถติดตามข่าวสารหรือโพสคำถามข้อสงสัยเกี่ยวกับเกม Final Fantasy XIV: A Realm Rebornได้ที่แฟนเพจเฟสบุ้ค
https://www.facebook.com/FFXIV.co.th
อย่าลืมไปกดไลค์กันนะครัช!!