หากใครที่ติดตามข่าวของค่าย THQ Nordic อยู่ตลอด เพื่อนๆ คงจะทราบกันดีว่าในเวลานี้ทางค่ายได้เข้าซื้อผลงานเกมมากมาย ไม่ว่าจะทั้งเกม Kingdoms of Amalur: Reckoning, TimeSplitters, Second Sight, Act of War และ Alone in the Dark (2008) ซึ่งทุกเกมต่างก็ล้วนคุณภาพระดับดีเอามากๆ แต่น่าเสียดายดันทำยอดขายได้ไม่ถึงเป้าที่กำหนดเอาไว้ จึงทำให้เหล่าเกมดังกล่าวไม่ถูกสานภาคต่อออกมา และเหตุนี้จึงทำให้หลายคนสงสัยเอามากๆ ว่าทำไม THQ Nordic ถึงกล้าตัดสินใจเข้าซื้อผลงานเกมมากมายถึงขนาดนี้ วันนี้เรามีคำตอบมาให้เพื่อนๆ ได้หายสงสัยกันแล้วจ้า
โดยเรื่องเริ่มมาจากสื่อสำนักข่าว IGN ได้เข้าไปสัมภาษณ์คุณ Reinhard Pollice เจ้าหน้าที่วางแผนกลยุทธ์ในการพัฒนาเกมของ THQ Nordic ให้คำตอบที่แสนเรียบง่ายออกมาว่า “เรื่องง่ายๆ เพราะพวกเราชอบเกมเหล่านี้นะสิ” คุณ Pollice กล่าวเสริมอีกว่า “เอาจริงๆ แล้วทุกเกมนั่นล้วนมีเอกลักษณ์, แปลกใหม่และสร้างแนวทางที่ไม่ซ้ำใครอยู่ ทว่าทีมผู้พัฒนาทั้งหลายต่างนำระบบเกมเพลย์ตามกระแสนิยมมาใช้เป็นหลัก จึงทำให้ตัวเกมไปไม่สุดสักทาง ทางเรารู้สึกเสียดายเอามากๆ จึงเข้าซื้อผลงานของพวกเขาเพื่อรังสรรค์สิ่งใหม่แก่ตัวเกมต้นฉบับที่ไม่สามารถทำได้ในสมัยนั้น”
คุณ Pollice อธิบายถึงขั้นตอนการรังสรรค์สิ่งใหม่แก่ IGN ว่า “ไม่ว่าเราจะพัฒนาตัวเกมยังไงก็ตาม สิ่งแรกที่เราทำต้องทำคือมองภาพรวมของตัวเกมเสียก่อน ระบบเกมเพลย์แบบไหนเหมาะสมกับตัวเกม มีของดีอะไรที่ทำให้รู้สึกว่ามันเจ๋ง จะสามารถฉีกแนวเกมที่มีอยู่ในตอนนี้ไหม มีฐานแฟนคลับหรือไม่ คำถามพวกนี้ล้วนเป็นสิ่งจำเป็นในการพัฒนาเกมครับ”
นอกจากนี้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการพัฒนาเกมตามเทรน์ดกระแสนิยม ซึ่ง THQ Nordic ไม่ได้สนใจพัฒนาตามแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าจะทำรายได้แก่พวกเขาก็ตาม โดยยกตัวอย่างให้เห็นง่ายก็เกมแนว Battle Royale นั่นเองค่ะ คุณ Pollice ให้ความเห็นว่า “ผู้จัดจำหน่ายทั้งหลายต่างตะเกียกตะกายทำกำไรจากการพัฒนาเกมตามกระแสนิยม โดนส่วนตัวแล้ว THQ Nordic มองว่าเป็นความเสี่ยงเกินไปที่จะทำตามแนวทางดังกล่าว ซึ่งก็เหมือนกับเราโยนไข่ไก่ฟองหนึ่งลงในตะกร้าที่รายเรียงกันหนาแน่นก็ไม่ปาน [เป็นความหมายเชิงเปรียบเทียบว่าขาดทุนดีๆ นี่เอง]”
สำหรับทามาโมะจังแล้วรู้สึกว่าเห็นด้วยกับ THQ Nordic นะคะ การพัฒนาเกมตามกระแสนิยม แม้จะช่วยให้เกมเมอร์หันมาสนใจมากยิ่งขึ้น แต่ความเสี่ยงจะขาดทุนหนักก็สูงเช่นกัน เห็นได้จากเกมแนว Battle Royale ทั้งหลายที่มีจำนวนนับไม่ถ้วน ถึงกระนั้นก็มีเพียงแค่ไม่กี่เกมที่รักษายอดผู้เล่นและเปิดให้บริการได้นานหลายเดือน รวมไปถึงเกมบางเกมที่ดันยึดระบบเกมเพลย์ตามกระแสนิยมอีกด้วย เช่น Kingdoms of Amalur: Reckoning ที่ทำรูปแบบคล้ายกับเกมซีรีส์ Skyrim หรือไม่ก็ Alone in the Dark (2008) ที่ดันทำรูปแบบคล้ายกับเกมซีรีส์ Resident Evil 4 - 6 ทั้งที่ต่างมีเอกลักษณ์อยู่ในตัวของมัน ถือว่าน่าสนใจอยู่ไม่น้อยว่า THQ Nordic จะสานต่อออกมาในรูปแบบไหน หวังว่าจะทำออกมาถูกใจเกมมเมอร์สมัยนี้นะคะ เอาเป็นว่าหากมีข้อมูลรายละเอียดเพิ่มเติมเมื่อไหร ทามาโมะจังและทีมงาน PlayUlti จะรีบมาแจ้งให้ทราบทันทีค่ะ